คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1030/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การรับสารภาพและศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้อง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์เพียงขอลดมาตราส่วนโทษโดยมิได้อุทธรณ์ในปัญหาที่ว่าจำเลยมิได้กระทำผิดตามฟ้อง ปัญหานี้จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยก็เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา การพิพากษาคดีอาญา หาได้มีบทบัญญัติของกฎหมายใดให้ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาคดีอื่น ดังนั้นเมื่อ ว. ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดร่วมกับจำเลยถูกฟ้องในคดีอื่นและศาลพิพากษายกฟ้องเพราะไม่มีประจักษ์พยาน จึงไม่ผูกพันศาลว่าจะต้องพิพากษายกฟ้องจำเลยในคดีนี้ด้วย แม้จำเลยจะกระทำผิดขณะมีอายุ 18 ปี แต่พฤติกรรมที่จำเลยร่วมกันวางแผนกระทำความผิดและดำเนินการตามแผนที่วางไว้ส่อแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกผิดชอบเสมือนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ศาลใช้ดุลพินิจไม่ลดมาตราส่วนโทษให้ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา199, 289 (4) (6) (7), 340 วรรคท้าย, 340 ตรี, 32, 33, 83, 91พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิและริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 3 คงพิจารณาเฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง ให้เรียงกระทงลงโทษ ให้ลงโทษตามมาตรา 340 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 340 ตรีให้ประหารชีวิต ฐานมีอาวุธปืนฯ ให้จำคุกคนละ 2 ปี ฐานพาอาวุธปืนให้จำคุกคนละ 1 ปี ฐานลอบฝังศพเพื่อปิดบังการตายฯ ให้จำคุกคนละ1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เป็นให้จำคุกตลอดชีวิต และจำคุก 2 ปีเปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษจำคุก 50 ปี รวมเป็นจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 52 ปี ริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์ขอให้ลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 50 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นตอนเกิดเหตุมาสืบ จะนำเอาพยานแวดล้อมและคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยไม่สมัครใจและคำรับสารภาพในชั้นพิจารณามาฟังว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องหาได้ไม่นั้น เห็นว่า คดีนี้จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ และศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้อง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์เพียงขอลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 โดยจำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์ในปัญหาที่ว่าจำเลยทั้งสองมิได้กระทำผิดตามฟ้องปัญหานี้จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะยกขึ้นวินิจฉัยก็เป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยทั้งสองฎีกาต่อไปว่า นายวชิระหรือเต้น จำเลยที่ 3ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งให้แยกฟ้องเป็นอีกคดีหนึ่ง ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้อง เพราะไม่มีประจักษ์พยาน ควรยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ด้วยนั้น เห็นว่า ในการพิพากษาคดีอาญา หาได้มีบทบัญญัติของกฎหมายใดให้ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาคดีอื่นฉะนั้น เมื่อนายวชิระหรือเต้นไม่ได้เป็นจำเลยในคดีเดียวกันกับจำเลยทั้งสองแล้ว การที่ศาลพิพากษายกฟ้องคดีนายวชิระหรือเต้นเพราะไม่มีประจักษ์พยาน จึงหาได้ผูกพันว่าศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ด้วยไม่
จำเลยทั้งสองฎีกาข้อสุดท้ายว่า ขณะกระทำผิด จำเลยที่ 1 ที่ 2อายุ 18 ปี ทั้งได้ให้การรับสารภาพตลอดมา ควรได้ลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ด้วย นั้น เห็นว่า แม้จำเลยทั้งสองจะกระทำความผิดในขณะที่มีอายุ 18 ปี แต่พฤติกรรมที่จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตั้งแต่เริ่มแรกโดยร่วมกันวางแผนและดำเนินการตามแผนที่วางไว้ เป็นพฤติกรรมอันส่อแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกผิดชอบเสมือนเป็นผู้ใหญ่แล้วที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่ลดมาตราส่วนโทษ ชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share