แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้โจทก์ทั้งสามเป็นนายหน้าขายที่ดินของจำเลยและของบุตรสาวในราคา13,650,000บาทโดยเริ่มแรกโจทก์ทั้งสามติดต่อกับบริษัทผู้ซื้อเพื่อขายที่ดินของจำเลยในราคาดังกล่าวแต่ไม่ตกลงกันในเรื่องราคาต่อมาส.ซึ่งเป็นสามีของบุตรสาวจำเลยได้ติดต่อประสานงานจนกระทั่งมีการทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกันในราคาดังกล่าวดังนี้แม้ส.จะเป็นผู้ติดต่อประสานงานขายที่ดินสำเร็จในภายหลังแต่ก็คงขายให้แก่บริษัทผู้ซื้อซึ่งโจทก์ทั้งสามได้ติดต่อไว้ก่อนในราคาเดิมซึ่งโจทก์ทั้งสามเคยเสนอไว้เป็นกรณีที่จำเลยถือเอาประโยชน์จากการที่โจทก์ทั้งสามเป็นผู้ติดต่อบอกขายที่ดินแก่บริษัทผู้ซื้อมาตั้งแต่ต้นถือได้ว่าการซื้อขายที่ดินรายนี้ได้ทำกันสำเร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่โจทก์ที่1และที่2เป็นนายหน้าชี้ช่องจัดการโจทก์ที่1และที่2จึงมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จนานหน้าตามข้อตกลงร้อยละ5ของราคาที่ดินที่ขายได้แต่คดีนี้โจทก์ที่3มิได้อุทธรณ์ฎีกาโดยโจทก์ที่3ได้ถอนอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์อนุญาตแล้วดังนี้คดีสำหรับโจทก์ที่3จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยจึงต้องชำระค่านายหน้าแก่โจทก์ที่1และที่2สองในสามส่วนของค่านายหน้า
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2532 จำเลยมอบหมายให้โจทก์ทั้งสามเป็นนายหน้าติดต่อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 443,473 และ 15058 ของจำเลยที่ตำบลบางกะดี อำเภอเมืองปทุมธานีจังหวัดปทุมธานี ในราคา 13,650,000 บาท โดยให้ค่านายหน้าร้อยละ 5โจทก์ทั้งสามติดต่อขายที่ดินดังกล่าวให้แก่บริษัทเอ็กเซลเล้นท์ควอลิตี้ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้สำเร็จเมื่อวันที่10 เมษายน 2533 จึงมีสิทธิได้ค่านายหน้า 682,500 บาท แต่จำเลยไม่ยอมชำระให้ แม้โจทก์ทั้งสามจะได้ทวงถามแล้วก็ตาม โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายคิดเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน682,500 บาท นับแต่วันที่ 10 เมษายน 2533 ถึงวันฟ้อง เป็นเงิน15,777 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 698,277 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 682,500 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยติดต่อขายที่ดินตามฟ้องให้แก่บริษัทผู้ซื้อด้วยตนเอง โจทก์ทั้งสามมิได้เป็นนายหน้าชี้ช่องหรือเกี่ยวข้องในการขายดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ แต่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2โจทก์ที่ 3 ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นนายหน้าติดต่อขายที่ดินของจำเลยตามฟ้องให้แก่บริษัทผู้ซื้อได้สำเร็จหรือไม่ ในข้อนี้โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความว่า เมื่อเดือนกรกฎาคม 2532 จำเลยให้โจทก์ทั้งสามเป็นนายหน้าขายที่ดินของจำเลยและของบุตรสาวในราคา13,650,000 บาท แต่ไม่ตกลงกันในเรื่องราคา ต่อมานายสมยสติดต่อประสานงานจนกระทั่งมีการทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเมื่อวันที่10 เมษายน 2533 ในราคา 13,650,000 บาท จากข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นได้ว่า แม้นายสมยศ จะเป็นผู้ติดต่อประสานงานขายที่ดินสำเร็จในภายหลัง แต่ก็คงขายให้แก่บริษัทเอ็กเซลเล้นท์ควอลิตี้ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ซื้อซึ่งโจทก์ทั้งสามได้ติดต่อไว้ก่อนในราคาเดิมซึ่งโจทก์ทั้งสามเคยเสนอไว้เป็นกรณีที่จำเลยถือเอาประโยชน์จากการที่โจทก์ทั้งสามเป็นผู้ติดต่อบอกขายที่ดินแก่บริษัทผู้ซื้อมาตั้งแต่ต้น ถือได้ว่าการซื้อขายที่ดินรายนี้ได้ทำกันสำเร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นนายหน้าชี้ช่องจัดการโจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จนายหน้าตามข้อตกลงร้อยละ 5 ของราคาที่ดินที่ขายได้แต่เนื่องจากโจทก์ที่ 3 มิได้อุทธรณ์ฎีกา คดีสำหรับโจทก์ที่ 3 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยจึงต้องชำระค่านายหน้าแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 สองในสามส่วนของค่านายหน้า จำนวน 682,500 บาท คิดเป็นเงินจำนวน 455,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 10 เมษายน 2533 จนกว่าจะชำระเสร็จ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2จำนวน 455,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 10 เมษายน 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ