คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1166/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทำการประมงโดย ไม่ได้รับอนุญาตคำขอท้ายฟ้องระบุอ้าง พ.ร.บ. การประมงฯ มาตรา 20 ซึ่ง เป็นบทมาตราความผิด และมาตรา 62 ทวิ ซึ่ง เป็นบทกำหนดโทษและอ้างประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 105 ข้อ 4 ซึ่ง แก้ไขมาตรา62 ทวิ แต่ ในขณะที่จำเลยกระทำผิดได้ มี พ.ร.บ. การประมง (ฉบับที่ 3)ออกใช้ บังคับแล้ว โดย แก้ไขมาตรา 62 ทวิ แม้โจทก์ จะมิได้อ้างพ.ร.บ. การประมง (ฉบับที่ 3)ฯ แต่ ได้ อ้างกฎหมายเดิม ซึ่งมีความผิดอยู่ ถือ ว่าฟ้อง โจทก์ได้ อ้างมาตราที่ลงโทษจำเลยมาสมบูรณ์แล้ว ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2 ตาม กฎหมายที่แก้ไขใหม่ได้และการปรับบทลงโทษดังกล่าวมี ผลถึง จำเลยที่ 1 ซึ่ง ไม่มีฝ่ายใดฎีกาด้วย แต่ โทษที่ลงแก่จำเลยที่ 1 คงยุติไปตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติการประมงพ.ศ. 2490 มาตรา 4, 20, 62 ทวิ, 69 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 105 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2515 ข้อ 2, 4, 5 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 20, 62 ทวิ, 69ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 105 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2515ข้อ 2, 4, 5 จำเลยทั้งสองอายุ 20 ปี รู้ผิดชอบดีแล้วไม่ลดมาตราส่วนโทษให้ ให้จำคุกคนละ 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 1 ปี ของกลางริบ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือนและปรับ 5,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 79กึ่งหนึ่ง จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 3 เดือน และปรับ 2,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ถ้าไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน จำเลยที่ 2รับสารภาพเช่นเดียวกัน ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78กึ่งหนึ่ง จำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 3 เดือน ไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุก จึงไม่รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทำการประมงโดยไม่ได้รับอนุญาต คำขอท้ายฟ้องระบุอ้างพระราชบัญญัติการประมงพ.ศ. 2490 มาตรา 20 ซึ่งเป็นบทมาตราความผิด และมาตรา 62 ทวิซึ่งเป็นบทกำหนดโทษและอ้างประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 105 ข้อ 4ซึ่งแก้ไขมาตรา 62 ทวิ แต่ในขณะที่จำเลยกระทำผิด ได้มีพระราชบัญญัติการประมง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2528 ออกใช้บังคับแล้วโดยแก้ไขมาตรา62 ทวิ แม้โจทก์จะมิได้อ้างพระราชบัญญัติการประมง (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2528 แต่ได้อ้างกฎหมายเดิมซึ่งมีความผิดอยู่ ถือว่าฟ้องโจทก์ได้อ้างมาตราที่ลงโทษจำเลยมาสมบูรณ์แล้ว ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2 ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ได้ ควรปรับบทลงโทษที่แก้ไขใหม่ให้ถูกต้องมีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีฝ่ายใดฎีกาด้วย แต่โทษที่ลงแก่จำเลยที่ 1 คงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองผิดตามพระราชบัญญัติการประมงพ.ศ. 2490 มาตรา 20, 62 ทวิ พระราชบัญญัติการประมง (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2528 มาตรา 10 โทษจำเลยที่ 1 ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 10,000 บาทจำเลยที่ 2 รับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือนและปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกจำเลยที่ 2 ให้รอการลงโทษไว้ 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ถ้าไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share