แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
บริเวณที่เกิดเหตุเป็นทางหลวงอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ถ้ามีการอนุญาตให้ใช้โดยกรมทางหลวงกำหนดเงื่อนไขหรือข้อกำหนดไว้อย่างไร ผู้ได้รับอนุญาตมีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามเงื่อนไขและข้อกำหนดเช่นนั้น ซึ่งหน้าที่เช่นนี้ย่อมครอบคลุมไปถึงบุคคลอื่นที่เข้ามาเกี่ยวข้องโดยอาศัยสิทธิของผู้ได้รับอนุญาต ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับกิจการโทรศัพท์ในเขตทางหลวงดังกล่าวในฐานะผู้ร่วมการงานและร่วมลงทุนกับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยซึ่งเป็นผู้เข้ามาโดยอาศัยสิทธิขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยย่อมต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขหรือข้อกำหนดดังกล่าวดัวย เสมือนดั่งโจทก์เป็นตัวการและองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเป็นตัวแทนของโจทก์ในการดำเนินการขออนุญาตใช้พื้นที่ในเขตทางหลวงจากกรมทางหลวงแทนโจทก์
ตามบันทึกข้อตกลงข้อ 8 กำหนดว่า ในกรณีที่กรมทางหลวงจะทำการก่อสร้าง บูรณะหรือขยายทางหลวง เมื่อกรมทางหลวงแจ้งเป็นหนังสือให้รื้อย้ายเสาพาดสาย ท่าร้อยสาย บ่อพัก ตั้งตู้สลับสายหรือสิ่งใดๆ เกี่ยวกับกิจการโทรศัพท์ออกไปให้พ้นเขตก่อสร้างทางหลวงภายในเวลาที่กำหนด องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจะทำการรื้อย้ายให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาที่ได้รับแจ้ง และตามหนังสืออนุญาตที่กรมทางหลวงอนุญาตให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยใช้ทางหลวงดำเนินการเกี่ยวกับกิจการโทรศัพท์ได้กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมไว้ในข้อ 7 (7) ว่า เมื่อกรมทางหลวงต้องสร้างหรือขยายทางหลวงหรือซ่อมแซมบำรุงทางหลวง ถ้าทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของผู้ได้รับอนุญาต ผู้ได้รับอนุญาตจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายใดๆ จากกรมทางหลวง เมื่อกรมทางหลวงโดยแขวงการทางกาญจนบุรีได้มีหนังสือถึงองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยให้ดำเนินการรื้อย้ายบรรดาสาธารณูปโภคอันเกี่ยวกับกิจการโทรศัพท์ในเขตบริเวณทางหลวงที่จะก่อสร้างซึ่งรวมถึงทางบริเวณที่เกิดเหตุแล้ว กรมทางหลวงย่อมไม่มีหน้าที่ต้องแจ้งให้โจทก์ทราบอีก
โจทก์ทราบแล้วไม่ย้ายทรัพย์สินออกไปทั้งที่มีเวลาประมาณ 3 เดือน ถ้ามิใช่การตั้งใจเข้าเสี่ยงภัยอันถือได้ว่าเป็นการยินยอมก็เป็นการประมาทของฝ่ายโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 1 เมื่อได้รับมอบหมายจากกรมทางหลวงให้ดำเนินการก่อสร้างทางโดยกรมทางหลวงได้แจ้งให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยทราบ ซึ่งถือว่าโจทก์ได้ทราบแล้วได้เข้าดำเนินการตามคำสั่งและภายในกรอบเงื่อนไขที่กรมทางหลวงกำหนดไว้ ย่อมถือได้ว่าไม่มีความประมาทในการดำเนินการขุดทำทางและวางท่อระบายน้ำในทางหลวงเป็นเหตุให้ท่อร้อยสายโทรศัพท์ของโจทก์ ซึ่งฝังอยู่ใต้ดินเสียหาย และจำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่ต้องแจ้งให้โจทก์ทราบอีก ทั้งไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เพราะสามารถอนุมานได้ว่าถึงหากกรมทางหลวงเข้าดำเนินการด้วยตนเอง ก็คงจะทำอย่างจำเลยที่ 1 เช่นกัน ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่โจทก์ย่อมไม่แตกต่างกัน จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ย่อมไม่ต้องรับผิดเช่นกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด จำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2540 เวลา 18.30 นาฬิกา และวันที่ 25 ธันวาคม 2540 เวลา 15.30 นาฬิกา ลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยทั้งสามขับรถแบ็กโฮขุดทำถนนและวางท่อระบายน้ำถนนสายกาญจนบุรี-ลาดหญ้า โดยประมาทปราศจากความระมัดระวังโดนท่อร้อยสายเคเบิลโทรศัพท์ของโจทก์ซึ่งฝังอยู่ใต้ดินได้รับความเสียหายรวมเป็นเงิน 338,271.72 บาท โจทก์ใช้เวลาซ่อมแซมแก้ไขเป็นเวลา 5 วัน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคิดเป็นค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 30,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 423,512.48 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากเงินต้น 368,271.72 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วน
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของผู้ครอบครองสายเคเบิลโทรศัพท์ดังกล่าว จำเลยทั้งสามไม่ใช่ผู้รับเหมาก่อสร้างถนนที่เกิดเหตุ รถแบ็กโฮที่โจทก์อ้างไม่ใช่คันที่ทำละเมิด จำเลยทั้งสามไม่ได้เป็นนายจ้างหรือตัวการของคนขับรถแบ็กโฮ และไม่เคยใช้ให้ลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยทั้งสามไปขับรถแบ็กโฮที่โจทก์อ้าง จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิด ความเสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องจากความผิดของโจทก์และคู่สัญญาของโจทก์ที่ละเว้นการกระทำตามข้อตกลงระหว่างแขวงการทางกับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยกล่าวคือ ก่อนมีการก่อสร้างถนนและท่อระบายน้ำดังกล่าว แขวงการทางมีหนังสือแจ้งไปยังหัวหน้าชุมสายโทรศัพท์กาญจนบุรีขอให้ย้ายสายเคเบิลที่ฝังอยู่ออกไปให้พ้นบริเวณก่อสร้างภายในวันที่ 30 สิงหาคม 2540 แต่โจทก์และคู่สัญญาของโจทก์จงใจละเว้นโดยไม่ขนย้ายสายเคเบิลดังกล่าวถือว่าโจทก์เป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นเอง โจทก์มีหน้าที่ต้องซ่อมแซมความเสียหายเอง จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสามในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี โดยอ้างว่าต้องไปกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน เพราะเป็นการนำมาทำธุรกิจการค้าของโจทก์ เหตุคดีนี้เกิดก่อนวันที่ 19 ธันวาคม 2540 คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติในชั้นฎีกาว่า โจทก์และองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้ทำสัญญาร่วมการงานและร่วมลงทุนขยายบริการโทรศัพท์ 1,000,000 เลขหมายในเขตโทรศัพท์ภูมิภาคตามเอกสารหมาย จ.7 โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองสายเคเบิลโทรศัพท์ที่ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ซึ่งรับจ้างกรมทางหลวงโดยแขวงการทางกาญจนบุรีให้ก่อสร้าง ขยายและปรับปรุงถนนกาญจนบุรีลาดหญ้า ซึ่งรวมถึงถนนบริเวณที่เกิดเหตุหน้าโรงแรมมิตรพันธ์คอมเพล็กซ์ จังหวัดกาญจนบุรี ก่อนจำเลยที่ 1 ลงมือก่อสร้างแขวงการทางกาญจนบุรีได้มีหนังสือลงวันที่ 12 มิถุนายน 2540 ตามเอกสารหมาย ป.ล.3 ถึงชุมสายโทรศัพท์กาญจนบุรีให้ย้ายสาธารณูปโภคอันเกี่ยวกับกิจการโทรศัพท์ออกไปจากบริเวณที่จะก่อสร้างภายในวันที่ 30 สิงหาคม 2540 กรมทางหลวงและองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้มีการทำบันทึกข้อตกลงกันไว้เกี่ยวกับเรื่องการปักเสาพาดสาย วางท่อร้อยสาย สร้างบ่อพัก ตั้งตู้สลับสาย หรือกระทำการใดๆ เกี่ยวกับกิจการโทรศัพท์ในเขตทางหลวงตามเอกสารหมาย ป.ล.2 อันเป็นข้อตกลงทั่วไป และกรมทางหลวงได้มีหนังสืออนุญาตสำหรับกรณีการก่อสร้าง ขยายและปรับปรุงถนนกาญจนบุรีลาดหญ้า ให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยตามที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยขอมาตามเอกสารหมาย ป.ล.1
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดแก่สายเคเบิลโทรศัพท์ของโจทก์หรือไม่เห็นว่า บริเวณที่เกิดเหตุเป็นทางหลวง อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน โดยกรมทางหลวงเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่และรับผิดชอบในการกำกับ ตรวจตรา ควบคุมและบำรุงรักษา รวมทั้งการบูรณะและการขยายทางดังกล่าว ผู้ใดจะใช้หรือทำสิ่งใดๆ ต่อทางดังกล่าวจะต้องขออนุญาตจากกรมทางหลวง ซึ่งกรมทางหลวงย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาอนุญาตหรือไม่ หรืออนุญาตใต้เงื่อนไขหรือข้อกำหนดอย่างไรก็ได้ ถ้ามีการอนุญาตโดยกำหนดเงื่อนไขหรือข้อกำหนดไว้ ผู้ได้รับอนุญาตมีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามเงื่อนไขและข้อกำหนดเช่นนั้น ซึ่งหน้าที่เช่นนี้ย่อมครอบคลุมไปถึงบุคคลอื่นที่เข้ามาเกี่ยวข้องโดยอาศัยสิทธิของผู้ได้รับอนุญาต ดังนั้น เงื่อนไขหรือข้อกำหนดใดที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจะต้องรักษาหรือปฏิบัติต่อกรมทางหลวงตามเอกสารหมาย ป.ล.2 และ ป.ล.1 อันเกี่ยวข้องกับการใช้ทางหลวงในบริเวณที่เกิดเหตุ โจทก์ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับกิจการโทรศัพท์ในเขตทางหลวงดังกล่าวในฐานะผู้ร่วมการงานและร่วมลงทุนกับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้เข้ามาโดยอาศัยสิทธิขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยย่อมต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขหรือข้อกำหนดดังกล่าวด้วย เพราะหากปราศจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยแล้ว โจทก์ก็ไม่มีสิทธิจะใช้ทางหลวงดังกล่าวได้เสมือนดั่งโจทก์เป็นตัวการและองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเป็นตัวแทนของโจทก์ในการดำเนินการขออนุญาตใช้พื้นที่ในเขตทางหลวงจากกรมทางหลวงแทนโจทก์ ซึ่งตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย ป.ล.2 ข้อ 8 กำหนดไว้ว่า ในกรณีที่กรมทางหลวงจะทำการก่อสร้าง บูรณะหรือขยายทางหลวง เมื่อกรมทางหลวงแจ้งเป็นหนังสือให้รื้อย้ายเสาพาดสาย ท่อร้อยสาย บ่อพัก ตั้งตู้สลับสายหรือสิ่งใดๆ เกี่ยวกับกิจการโทรศัพท์ออกไปให้พ้นเขตก่อสร้างทางหลวงภายในเวลาที่กำหนด องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจะทำการรื้อย้ายให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาที่ได้รับแจ้ง โดยเป็นผู้จัดหาสถานที่และเสียค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น และตามหนังสืออนุญาตเอกสารหมาย ป.ล.1 ที่กรมทางหลวงอนุญาตให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยใช้ทางหลวงที่เกิดเหตุดำเนินการเกี่ยวกับกิจการโทรศัพท์ได้กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมไว้ในข้อ 7 (7) ว่า เมื่อกรมทางหลวงต้องสร้างหรือขยายทางหลวงหรือซ่อมแซมบำรุงทางหลวง ถ้าทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของผู้ได้รับอนุญาต ผู้ได้รับอนุญาตจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายใดๆ จากกรมทางหลวง เมื่อปรากฎว่ากรมทางหลวงโดยแขวงการทางกาญจนบุรีได้มีหนังสือลงวันที่ 12 มิถุนายน 2540 ตามเอกสารหมาย ป.ล.3 ถึงองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยโดยผ่านทางหัวหน้าชุมสายโทรศัพท์กาญจนบุรีให้ดำเนินการรื้อย้ายบรรดาสาธารณูปโภคอันเกี่ยวกับกิจการโทรศัพท์ในเขตบริเวณทางหลวงที่จะก่อสร้างซึ่งรวมถึงทางบริเวณที่เกิดเหตุภายในวันที่ 30 สิงหาคม 2540 แล้ว กรมทางหลวงย่อมไม่มีหน้าที่ต้องแจ้งให้โจทก์ทราบอีก เพราะเป็นกรณีที่ถือว่าโจทก์ทราบแล้ว เหตุคดีนี้เกิดเมื่อวันที่ 19 และ 25 ธันวาคม 2540 องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยและโจทก์มีเวลาถึง 3 เดือนเศษ ที่จะดำเนินการตามที่ได้รับแจ้งไปเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหาย หากมีข้อขัดข้องประการใดก็สมควรอย่างยิ่งที่จะแจ้งให้กรมทางหลวงทราบเพื่อแจ้งแก่จำเลยที่ 1 ต่อไป ตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฎว่าองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบถึงการบอกกล่าวของกรมทางหลวง นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายอิทธินันท์ ช่างเทคนิคของโจทก์ที่สาขาจังหวัดกาญจนบุรีเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยทั้งสามว่า ก่อนเกิดเหตุ พยานทราบว่ามีการขุดถนน เพราะขับรถผ่านเห็นรถแบ็กโฮ และบริเวณที่เกิดเหตุไม่มีป้ายบอกว่ามีสายเคเบิลของโจทก์ฝังอยู่ พยานคิดว่าคนทั่วไปไม่ทราบว่ามีสายเคเบิลดังกล่าวฝังอยู่ และนายวันชัย ผู้จัดการแผนกซ่อมและบำรุงรักษาข่ายสายที่ดูและรับผิดชอบเขตที่เกิดเหตุเบิกความว่า นายอิทธินันท์ได้แจ้งให้ทราบถึงเหตุที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2540 แสดงว่าฝ่ายโจทก์ได้ทราบการการขุดถนนของจำเลยที่ 1 แล้วก่อนเกิดเหตุ แต่ก็มิได้ใยดีว่าอาจเกิดความเสียหายขึ้นแก่ทรัพย์สินของตน ทำให้อาจมองได้ว่า โจทก์อาจคิดว่าถ้าโจทก์ย้ายทรัพย์สินทั้งหมดตามที่กรมทางหลวงแจ้งมาโจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการย้ายแน่นอน ซึ่งอาจจะมีจำนวนค่าใช้จ่ายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการเสี่ยงต่อการที่จะถูกฝ่ายกรมทางหลวงดำเนินการแล้วโดนทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย แต่ถ้าฝ่ายกรมทางหลวงดำเนินการแล้วไม่โดนทรัพย์สินของโจทก์ โจทก์ก็ไม่ต้องเสียค่าย้ายเลยจึงคุ้มค่าแก่การเสี่ยง พฤติการณ์ของโจทก์ที่ได้ทราบแล้วไม่ย้ายทรัพย์สินออกไปทั้งที่มีเวลาประมาณ 3 เดือน ถ้ามิใช่การตั้งใจเข้าเสี่ยงภัยอันถือได้ว่าเป็นการยินยอมก็เป็นการประมาทของฝ่ายโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 1 เมื่อได้รับมอบหมายจากกรมทางหลวงให้ดำเนินการก่อสร้างทางพิพาทโดยกรมทางหลวงได้แจ้งให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยทราบ ซึ่งถือว่าโจทก์ได้ทราบแล้ว ได้เข้าดำเนินการตามคำสั่งและภายในกรอบเงื่อนไขที่กรมทางหลวงกำหนดไว้ ย่อมถือได้ว่าไม่มีความประมาทในการดำเนินการดังกล่าว และจำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่ต้องแจ้งให้โจทก์ทราบอีก อีกทั้งไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เพราะสามารถอนุมานได้ว่า ถึงหากกรมทางหลวงเข้าดำเนินการด้วยตนเอง ก็คงจะทำอย่างจำเลยที่ 1 เช่นกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่โจทก์ย่อมไม่แตกต่างกัน จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ย่อมไม่ต้องรับผิดเช่นกัน ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์จึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ