คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7022/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยซื้อทรัพย์สินซึ่งติดจำนองมาจากการขายทอดตลาดในคดีหมายเลขแดงที่ 4394/2536 ของศาลชั้นต้น โจทก์ผู้ทรงสิทธิจำนองย่อมมีสิทธิที่จะบังคับเอาแก่ทรัพย์นั้นได้ แต่หาได้ทำให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะเป็นผู้จำนองแต่อย่างใดไม่ ฐานะของจำเลยเป็นเพียงผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองอันมีสิทธิและหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. ลักษณะ 12 หมวด 5 กล่าวคือ จำเลยมีสิทธิไถ่ถอนจำนองโดยเสนอรับใช้เงินเป็นจำนวนอันสมควรกับราคาทรัพย์สินนั้นซึ่งหากโจทก์ไม่ยอมรับ โจทก์ต้องฟ้องคดีต่อศาลภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันมีคำเสนอเพื่อให้ศาลพิพากษาสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินซึ่งจำนองนั้นตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติในมาตรา 738 และ 739 และถ้าจำเลยมิได้ใช้สิทธิเสนอไถ่ถอนจำนองดังกล่าว หากโจทก์จะบังคับจำนอง ก็ต้องมีจดหมายบอกกล่าวแก่จำเลยล่วงหน้าหนึ่งเดือนก่อนแล้วจึงจะบังคับจำนองได้ตามมาตรา 735 ซึ่งบัญญัติไว้ในลักษณะ 12 หมวด 4 มิใช่ว่าเมื่อจำเลยซื้อทรัพย์สินซึ่งติดจำนองมาแล้วโจทก์จะอาศัยสิทธิความเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 9571/2537 ติดตามบังคับคดีแก่ทรัพย์สินนั้นได้ทันที เมื่อปรากฏว่าจำเลยมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวและประเด็นแห่งคดีก็เป็นคนละอย่างกัน กรณีหาใช่เรื่องสืบสิทธิที่จะถือว่าเป็นเรื่องที่คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์จำนองตามฟ้องออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จำนวน 14,169,440.29 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 3,750,041.63 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2534 นางเพ็ญนภาได้ทำสัญญากู้เงินไปจากโจทก์และจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 86370, 86371 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันไว้แก่โจทก์ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องผู้กู้ต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 9571/2537 คดีดังกล่าวถึงที่สุด โดยโจทก์และผู้กู้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้ผู้กู้ผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ หลังจากที่ผู้กู้กู้เงินและนำทรัพย์สินมาจำนอง ทรัพย์จำนองดังกล่าวถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ 4394/2536 ของศาลแพ่งระหว่าง บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนทุน จำกัด โจทก์ นางเพ็ญนภากับพวกจำเลย โดยจำเลยในคดีนี้เป็นผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดในคดีดังกล่าวได้โดยติดจำนอง จำเลยจึงเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งมีภาระจำนองอยู่แก่โจทก์ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง แต่จำเลยเพิกเฉย ซึ่งศาลชั้นต้น เห็นว่า การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขอให้บังคับจำนองเป็นประเด็นเดียวกับคดีก่อนที่โจทก์ฟ้องผู้กู้และศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วตามคดีหมายเลขแดงที่ 9571/2537 จำเลยคดีนี้เป็นผู้ซื้อทรัพย์พิพาทโดยติดจำนองจากการขายทอดตลาดในคดีที่นางเพ็ญนภา ผู้จำนองรายเดิมตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาจำเลยจึงเป็นผู้สืบสิทธิจากนางเพ็ญนภา ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับคดีก่อน การที่โจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้อีก จึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 9571/2537 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยซื้อทรัพย์สินซึ่งติดจำนองมาจากการขายทอดตลาดในคดีหมายเลขแดงที่ 4394/2536 ของศาลชั้นต้น โจทก์ผู้ทรงสิทธิจำนองย่อมมีสิทธิที่จะบังคับเอาแก่ทรัพย์นั้นได้ แต่หาได้ทำให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะเป็นผู้จำนองแต่อย่างใดไม่ ฐานะของจำเลยเป็นเพียงผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองอันมีสิทธิและหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะ 12 หมวด 5 กล่าวคือ จำเลยมีสิทธิไถ่ถอนจำนองโดยเสนอรับใช้เงินเป็นจำนวนอันสมควรกับราคาทรัพย์สินนั้น ซึ่งหากโจทก์ไม่ยอมรับ โจทก์ต้องฟ้องคดีต่อศาลภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันมีคำเสนอ เพื่อให้ศาลพิพากษาสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินซึ่งจำนองนั้นตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติในมาตรา 738 และมาตรา 739 และถ้าจำเลยมิได้ใช้สิทธิเสนอไถ่ถอนจำนองดังกล่าว หากโจทก์จะบังคับจำนองก็ต้องมีจดหมายบอกกล่าวแก่จำเลยล่วงหน้าหนึ่งเดือนก่อนแล้วจึงจะบังคับจำนองได้ตามมาตรา 735 ซึ่งบัญญัติไว้ในลักษณะ 12 หมวด 4 มิใช่ว่าเมื่อจำเลยซื้อทรัพย์สินซึ่งติดจำนองมาแล้วโจทก์จะอาศัยสิทธิความเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 9571/2537 ติดตามบังคับคดีแก่ทรัพย์สินนั้นได้ทันที เมื่อปรากฏว่าจำเลยมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวและประเด็นแห่งคดีก็เป็นคนละอย่างกันกรณีหาใช่เรื่องสืบสิทธิที่จะถือว่าเป็นเรื่องที่คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันไม่ ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 9571/2537 ของศาลชั้นต้น ไม่เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาและพิพากษาใหม่ต่อไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share