คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6823/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยนำสืบถึงการชำระหนี้เงินกู้คืนโจทก์ว่า จำเลยมอบบัตรเอทีเอ็มของธนาคาร ก. ให้โจทก์ไปถอนเงินจากบัญชีของจำเลยทุกเดือน และโจทก์ยอมรับว่าได้รับบัตรเอทีเอ็มดังกล่าวไว้ถอนเงินจากบัญชีของจำเลย จึงถือได้ว่าเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 321 วรรคหนึ่ง จึงไม่ต้องห้ามที่จำเลยจะนำสืบพยานบุคคลให้ศาลเห็นถึงวิธีการชำระหนี้ว่าได้ปฏิบัติต่อกันเช่นใด ไม่อยู่ในบทบังคับเฉพาะตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 6 กันยายน 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเคยกู้เงินโจทก์ จำนวน 70,000 บาท และได้ชำระคืนโจทก์ครบถ้วนแล้ว โดยจำเลยมอบบัตรเอทีเอ็มของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้แก่โจทก์เพื่อนำไปใช้เบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของจำเลย บัญชีเลขที่ 013 – 1 -188XX – X ทุกสิ้นเดือน ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท เมื่อโจทก์นำบัตรเอทีเอ็มที่จำเลยมอบให้ไปเบิกถอนเงินชำระหนี้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายครบหมดแล้ว โจทก์เสนอให้จำเลยกู้เงินใหม่จำนวนเท่าเดิมและให้ใช้สัญญาเดิม เพียงแต่แก้ปี พ.ศ. เท่านั้น แต่โจทก์ไม่ได้มอบเงินให้ จำเลยจึงขอรับสัญญากู้เงินคืน แต่โจทก์ไม่คืนให้และกลับนำมาฟ้องเป็นคดีนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 6 กันยายน 2541 จนถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 11 พฤษภาคม 2544) แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินจำนวน 98,105.47 บาท และนับแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่า มีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่คู่ความนำสืบรับกันฟังได้ยุติว่า เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2541 จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ จำนวน 70,000 บาท ตามสัญญากู้และจำเลยได้มอบบัตรเอทีเอ็มของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนศรีอยุธยา ให้โจทก์ไว้ใช้ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของจำเลยเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า เมื่อจำเลยรับว่าได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปจริงและต่อสู้ว่าได้มีการชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว ข้อที่จำเลยนำสืบเป็นวิธีการชำระหนี้ให้โจทก์ดังกล่าว เป็นการสืบพยานที่ขัดต่อกฎหมาย ห้ามมิให้ศาลรับฟังหรือไม่ เห็นว่า จำเลยนำสืบถึงการชำระหนี้เงินกู้คืนโจทก์ โดยมีข้อตกลงกันว่า จำเลยมอบบัตรเอทีเอ็มของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้โจทก์ไปถอนเงินจากบัญชีของจำเลยทุกเดือน และโจทก์ยอมรับว่าได้รับบัตรเอทีเอ็มดังกล่าวไว้ถอนเงินจากบัญชีของจำเลย จึงถือได้ว่า เจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคหนึ่ง จึงไม่ต้องห้ามที่จำเลยจะนำสืบพยานบุคคลให้ศาลเห็นถึงวิธีการชำระหนี้โจทก์ว่าได้ปฏิบัติต่อกันเช่นใด ไม่อยู่ในบทบังคับเฉพาะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว ดังนั้น ข้อที่จำเลยนำสืบพยานหลักฐานมาดังกล่าวจึงไม่เป็นการต้องห้ามมิให้นำสืบ และศาลสามารถรับฟังพยานหลักฐานของจำเลยได้ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า เมื่อจำเลยนำสืบฟังได้ว่า โจทก์รับบัตรเอทีเอ็มดังกล่าวไปใช้ถอนเงินในบัญชีของจำเลยเพื่อหักชำระหนี้เงินกู้ยืมแล้ว โจทก์ได้รับเงินชำระหนี้ไปครบถ้วนแล้วหรือไม่ ในข้อนี้ จำเลยนำสืบว่าเงินกู้โจทก์จำนวน 70,000 บาท ได้ตกลงชำระคืนโจทก์โดยมอบบัตรเอทีเอ็มของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้โจทก์เพื่อนำไปใช้เบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของจำเลยบัญชีเลขที่ 013 – 1 – 188XX – X ทุกสิ้นเดือน ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท และโจทก์เริ่มใช้บัตรเอทีเอ็มถอนเงินตั้งแต่เดือนตุลาคม 2541 ถึงเดือนสิงหาคม 2542 รวมเป็นยอดเงินทั้งสิ้น 88,400 บาท เห็นว่า สัญญากู้ที่โจทก์กับจำเลยทำกันนั้น ลงวันที่เริ่มกู้ยืมกันในเดือนกันยายน 2541 และในสัญญา ข้อที่ 2 ตกลงกันให้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยภายในวันที่ 30 ของทุกเดือนจนกว่าจะชำระเสร็จ จึงสอดคล้องรับกับที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์นำบัตรเอทีเอ็มไปใช้ถอนเงินในบัญชีของจำเลยปรากฏหลักฐานการถอนเงินเดือนแรกในเดือนตุลาคม 2541 หลังจากทำสัญญากู้เงินแล้ว และต่อมามีรายการถอนเงินในบัญชีของจำเลยทุกเดือนต่อเนื่องตลอดมาจนถึงเดือนสิงหาคม 2542 รวมเป็นยอดเงินทั้งสิ้น 88,400 บาท ครบตามจำนวนหนี้ที่กู้ยืมโจทก์ พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบ จึงมีเหตุผลให้รับฟังได้ว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว ส่วนที่โจทก์โต้แย้งอ้างว่าใช้บัตรเอทีเอ็มไปถอนเงินได้เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ใช้ถอนเงินไม่ได้อีก เพราะบัตรถูกยึดไปก็เป็นเพียงคำเบิกความลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานใดมาสนับสนุนให้รับฟังได้ตามนั้น ทั้งยังขัดต่อเหตุผลตามข้อตกลงที่จำเลยจะต้องชำระเงินให้โจทก์ทุกเดือน หากโจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้เพราะบัตรเอทีเอ็มถูกยึดคืนไป โจทก์ก็ควรที่จะติดตามทวงถามจำเลยตั้งแต่แรกที่ผิดนัดชำระหนี้แล้ว คงไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปจนครบกำหนดตามสัญญากู้แล้วนำมาฟ้องบังคับคดีเช่นนี้ พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมามีน้ำหนักและเหตุผลดีกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ชอบด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share