แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสองในคดีนี้เป็นจำเลยในข้อหาละเมิดต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้โดยอ้างว่าการที่โจทก์ทั้งสองดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 9597/2546 เป็นการละเมิดต่อจำเลยนั้น แม้จะถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิทางศาลตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ก็ตาม แต่หากการใช้สิทธิทางศาลที่มีความมุ่งหมายหรือเจตนาที่จะให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายก็ย่อมเป็นการละเมิด คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องอ้างว่าจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยเป็นฝ่ายไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 9597/2546 การที่จำเลยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นจำเลยในข้อหาละเมิด เรียกทรัพย์คืนต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ โดยอ้างว่าโจทก์ทั้งสองดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยฝ่าฝืนกฎหมายนั้นเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและจงใจให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายซึ่งหากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างในคำฟ้องก็ย่อมทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายได้ กรณีถือได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงชอบที่จะเสนอคำฟ้องต่อศาลเป็นคดีนี้ได้
คดีนี้แม้โจทก์ที่ 1 จะขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่หากศาลฎีกาพิพากษาให้ตามขอ ก็เป็นการย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีจึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ตามตาราง 1 (2) (ก) ท้าย ป.วิ.พ. ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ดังนี้จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมาให้แก่โจทก์ที่ 1
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ที่ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในข้อหาผิดสัญญาหุ้นส่วนต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 4539/2546 ระหว่างพิจารณาโจทก์ที่ 1 กับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลได้พิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินจำนวน 316,814.75 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1 ต่อมาโจทก์ที่ 1 ได้ไปขอรับเช็คที่จำเลยต้องสั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ตามที่ตกลงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่จำเลยกลับปฏิเสธไม่ยอมสั่งจ่ายเช็คจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ที่ 1 โดยอ้างว่าจำเลยต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายก่อน และต่อมาจำเลยได้นำเงินจำนวน 285,133.28 บาท ซึ่งหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้วมาวางต่อศาล โจทก์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมโจทก์ที่ 1 จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลย แต่เมื่อโจทก์ที่ 2 ในฐานะตัวแทนของโจทก์ที่ 1 และเจ้าพนักงานบังคับคดีไปถึงสถานที่ที่จะทำการยึดทรัพย์ จำเลยได้ขอเจรจากับโจทก์ที่ 2 โดยจำเลยตกลงที่จะชำระเงินจำนวน 221,185 บาท ซึ่งเมื่อโจทก์ที่ 1 ได้รับชำระเงินจำนวน 221,185 บาท แล้วได้ขอถอนการบังคับคดี และต่อมาจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองด้วยการยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสองในข้อหาละเมิด ติดตามทรัพย์คืนต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 7450/2548 โดยอ้างว่าการที่โจทก์ทั้งสองดำเนินการบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 4539/2546 หมายเลขแดงที่ 9597/2546 เป็นการละเมิดต่อจำเลย ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ซึ่งการที่จำเลยยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นคดีดังกล่าวทั้งที่จำเลยทราบเป็นอย่างดีว่าจำเลยเป็นฝ่ายไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและจงใจทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสองจำนวน 300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ทั้งสองในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 7450/2548 เนื่องจากโจทก์ทั้งสองได้ดำเนินการบังคับคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิที่จะกระทำได้ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย การใช้สิทธิฟ้องคดีของจำเลยจึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย หาใช่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นได้โดยไม่จำต้องสืบพยานโจทก์จำเลย จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสอง ยังไม่ถือว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิจากจำเลย โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 ว่าการที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองโดยเห็นว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 อันจะทำให้มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เป็นการชอบหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสองในคดีนี้เป็นจำเลยในข้อหาละเมิดต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้โดยอ้างว่าการที่โจทก์ทั้งสองดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 9597/2546 เป็นการละเมิดต่อจำเลยนั้น แม้จะถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิทางศาลตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ก็ตาม แต่หากการใช้สิทธิทางศาลที่มีความมุ่งหมายหรือเจตนาที่จะให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ก็ย่อมเป็นการละเมิด คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องอ้างว่าจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยเป็นฝ่ายไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 9597/2546 การที่จำเลยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นจำเลยในข้อหาละเมิด เรียกทรัพย์คืนต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ โดยอ้างว่าโจทก์ทั้งสองดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยฝ่าฝืนกฎหมายนั้นเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและจงใจให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ซึ่งหากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างในคำฟ้องก็ย่อมทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายได้ กรณีถือได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงชอบที่จะเสนอคำฟ้องต่อศาลเป็นคดีนี้ได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าโจทก์ที่ 1 ยังไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธินั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 ฟังขึ้น
อนึ่ง คดีนี้แม้โจทก์ที่ 1 จะขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่หากศาลฎีกาพิพากษาให้ตามขอก็เป็นเพียงการย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ตามตาราง 1 (2) (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ดังนี้จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินมาแก่โจทก์ที่ 1”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนของโจทก์ที่ 1 ให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานและมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์ที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ