แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้กล่าวอ้างว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปใช้จ่ายในครอบครัว เป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องซึ่งเป็นสามีภริยากัน แม้จะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นขณะที่จำเลยกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากัน แต่หนี้ที่จะเกิดขึ้นแก่สามีหรือภริยาในระหว่างที่เป็นสามีภริยากันย่อมมีหลายชนิดด้วยกัน และเฉพาะแต่หนี้บางชนิดตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482 เท่านั้น จึงจะเป็นหนี้ร่วม ฉะนั้น เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าหนี้รายนี้เป็นหนี้ร่วมเพื่อจะให้ผู้ร้องต้องรับผิดใช้หนี้จากสินสมรสและสินเดิม โจทก์ต้องมีหน้าที่นำสืบก่อน
ย่อยาว
คดีนี้ เดิมผู้ร้องร้องขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึด คือ นาโฉนดเลขที่ ๖๓๗๕ และ ๖๒๔๙ เฉพาะส่วนของผู้ร้องกึ่งหนึ่ง และปล่อยนาโฉนดเลขที่ ๕๗๑๖ ทั้งแปลง คดีถึงที่สุดชั้นศาลอุทธรณ์ฟังว่านาทั้ง ๓ โฉนดเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยซึ่งเป็นสามีภริยากัน จะร้องขอให้ศาลกันส่วนของตนที่เป็นเจ้าของร่วมออกเสียก่อนโดยเจ้าหนี้มิได้ยินยอมไม่ได้ต่อมาผู้ร้องดังกล่าวมาร้องเป็นคดีนี้ขอให้ศาลแบ่งแยกทรัพย์สินกันส่วนของผู้ร้องในที่ดินโฉนดดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องครึ่งหนี่ง ฯลฯ โจทก์จำเลยต่างยื่นคำแถลงว่า ขณะจำเลยกู้เงินโจทก์ผู้ร้องและจำเลยเป็นสามีภริยากันจำเลยกู้เงินโจทก์มาใช้จ่ายในครอบครัว ทรัพย์สินระหว่างผู้ร้องกับจำเลยควรต้องรับผิดใช้หนี้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ในชั้นฎีกามีประเด็นในเรื่องหน้าที่นำสืบซึ่งศาลชั้นต้นให้ผู้ร้องเป็นฝ่ายสืบก่อนและผู้ร้องแถลงคัดค้าน และขอสืบพยานภายหลังโจทก์จำเลย
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เป็นผู้กล่าวอ้างขึ้นว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปใช้จ่ายในครอบครัว หนี้ของจำเลยรายนี้เป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องสามีภริยานั้นเอง ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าแม้หนี้รายนี้จะเกิดขึ้นขณะที่จำเลยกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากัน แต่หนี้ที่จะเกิดขึ้นแก่สามีหรือภริยาในระหว่างที่เป็นสามีภริยากันอยู่นั้น ย่อมมีมากมายหลายชนิดด้วยกันและเฉพาะแต่หนี้บางชนิดตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๘๒ เท่านั้น จึงจะเป็นหนี้ร่วมกัน ฉะนั้น เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าหนี้รายนี้เป็นหนี้ร่วมเพื่อจะให้ผู้ร้องต้องรับผิดใช้หนี้นี้จากสินสมรสและสินเดิมโจทก์ต้องมีหน้าที่นำสืบก่อน
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และกระบวนพิจารณาการสืบพยานเสีย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานใหม่โดยให้โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อน แล้วพิจารณาไปตามรูปความ.