คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4747/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสองที่บัญญัติว่า การผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไป ให้ถือว่าผลิต นำเข้า ส่งออกหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น เป็นข้อสันนิษฐานของกฎหมายโดยเด็ดขาด โจทก์จึงไม่จำต้องนำสืบว่าจำเลยมีพฤติการณ์จำหน่ายเฮโรอีนอย่างใดบ้าง เมื่อจำเลยรับว่ามีเฮโรอีนของกลางคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 65.9 กรัมไว้ในครอบครอง จึงต้องถือว่าและฟังได้ว่าจำเลยมีไว้ ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่า เจ้าพนักงานตำรวจจะค้นพบเฮโรอีนของกลางได้ที่ใดและจำเลยมีพฤติการณ์จำหน่ายเฮโรอีนด้วยหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสำคัญเพราะจำเลยไม่อาจนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเฮโรอีน 100 หลอด น้ำหนักสุทธิ 82 กรัมคิดเป็นเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์บริสุทธิ์ หนัก 65.9 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยนี้เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 4 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 464/2537ของศาลชั้นต้น และเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2037/2537 ของศาลจังหวัดมุกดาหารขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 ริบเฮโรอีนของกลาง และนับโทษต่อจากคดีดังกล่าว
จำเลยให้การปฏิเสธข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแต่รับว่ามีไว้เพื่อเสพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคแรกจำคุก 20 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 15 ปี ริบเฮโรอีนของกลางแต่ที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อนั้นไม่ปรากฏว่าศาลพิพากษาเป็นประการใดจึงนับโทษต่อให้ไม่ได้ ยกคำขอส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าเจ้าพนักงานตำรวจค้นพบเฮโรอีนของกลางในตู้เสื้อผ้าของจำเลย และโจทก์เองก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยมีพฤติการณ์จำหน่ายเฮโรอีนอย่างไร จึงต้องฟังว่าจำเลยมีไว้เพื่อเสพเท่านั้น เห็นว่าตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง บัญญัติว่า การผลิต นำเข้า ส่งออกหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไป ให้ถือว่าผลิต นำเข้าส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามบทบัญญัติดังกล่าวเป็นข้อสันนิษฐานโดยเด็ดขาด โดยโจทก์ไม่จำต้องนำสืบว่าจำเลยมีพฤติการณ์จำหน่ายเฮโรอีนแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อจำเลยรับว่ามีเฮโรอีนของกลางคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 65.9 กรัม ไว้ในครอบครอง จึงต้องถือว่าและฟังได้ว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าพนักงานตำรวจจะค้นพบเฮโรอีนของกลางได้ที่ใด และจำเลยมีพฤติการณ์จำหน่ายเฮโรอีนด้วยหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสำคัญ เพราะจำเลยจะนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวหาได้ไม่
พิพากษายืน

Share