คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4263/2551

แหล่งที่มา :

ย่อสั้น

ตามคำร้องของจำเลยที่ขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีและแจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพิกถอนการอายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลยเป็นคำร้องที่สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีไปดำเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ขอถอนการบังคับคดีเนื่องจากจำเลยยินยอมชำระหนี้แก่โจทก์จนเป็นที่พอใจ และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ถอนการบังคับคดีแล้ว ก็ย่อมทำให้หมายบังคับคดีเป็นอันสิ้นผลไป ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีอีกต่อไปและมีคำสั่งจำหน่ายอุทธรณ์ของจำเลยจึงชอบแล้ว ส่วนจำเลยหากถูกโต้แย้งสิทธิหรือได้รับความเสียหายจากการดำเนินการบังคับคดีของโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไรก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่โจทก์เป็นอีกคดีต่างหาก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินจำนวน 316,814.75 บาท แก่โจทก์ภายในวันที่ 11 ธันวาคม 2546 ต่อมาวันที่ 9 ธันวาคม 2546 จำเลยยื่นคำแถลงขอวางเงินต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม โดยได้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้จำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ของหนี้ที่ต้องชำระให้โจทก์ คงเหลือเงินจำนวน 285,133.28 บาท
วันที่ 15 ธันวาคม 2546 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลย ครั้นวันที่ 23 มีนาคม 2547 จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีและแจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพิกถอนการอายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลย อ้างว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมให้โจทก์ครบถ้วนภายในกำหนด และโจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้ว การที่ศาลชั้นต้นหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นคำสั่งที่ผิดหลง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำนวนเงินตามคำพิพากษาเป็นหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อไม่มีข้อตกลงในการจ่ายภาษี ถือว่าจำเลยจะต้องรับผิดชอบในภาษีที่ได้จ่ายไปแล้วทั้งหมด ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจำเลยออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า ภายหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระหนี้จำนวน 316,814.75 บาท แก่โจทก์ จำเลยยื่นคำแถลงฉบับลงวันที่ 9 ธันวาคม 2546 ขอวางเงินต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาโดยจำเลยได้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้จำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนหนี้ดังกล่าวคงเหลือเงินที่วางชำระหนี้จำนวน 285,133.28 บาท ส่วนโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2546 ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2546 และต่อมาวันที่ 4 มกราคม 2547 โจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากศาล ครั้นวันที่ 23 มีนาคม 2547 จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนหมายบังคับคดีและแจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพิกถอนการอายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลย อ้างว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมให้โจทก์โดยหักภาษี ณ ที่จ่าย ชอบด้วยประมวลรัษฎากร และโจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากศาลแล้ว การที่ศาลชั้นต้นหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเป็นคำสั่งที่ผิดหลง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลอุทธรณ์ว่า ในวันที่ 16 ธันวาคม 2547 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลย แต่จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ส่วนที่เหลือตามสัญญาประนีประนอมยอมความครบถ้วนแล้ว โจทก์จึงงดการยึดและได้ไปดำเนินการยื่นคำร้องขอถอนการบังคับคดี ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ถอนการบังคับคดีแล้ว เห็นว่า ตามคำร้องของจำเลยที่ขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีและแจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพิกถอนการอายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลยเป็นคำร้องที่สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีไปดำเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ขอถอนการบังคับคดี เนื่องจากจำเลยยินยอมชำระหนี้แก่โจทก์จนเป็นที่พอใจ และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ถอนการบังคับคดีแล้ว ก็ย่อมทำให้หมายบังคับคดีเป็นอันสิ้นผลไป ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยที่ขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีอีกต่อไปและมีคำสั่งจำหน่ายอุทธรณ์ของจำเลยจึงชอบแล้ว ส่วนจำเลยหากถูกโต้แย้งสิทธิหรือได้รับความเสียหายจากการดำเนินการบังคับคดีของโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไรก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่โจทก์เป็นอีกคดีต่างหาก ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share