แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การวิวาทหมายถึงการสมัครใจเข้าต่อสู้ทำร้ายกันคำพูดของจำเลย ที่ว่าการย้ายตำรวจต้องมีขั้นตอนต้องมีคณะกรรมการอย่าไปเชื่อให้มากนัก เป็นเพียงการแสดงความเห็นในการสนทนาเท่านั้น มิได้มีข้อความใด ที่เป็นการท้าทายให้ผู้ตายหรือผู้เสียหายออกมาต่อสู้ทำร้ายกับจำเลย เพียงแค่นี้จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุวิวาทมิได้
จำเลยถูกตีที่ทัดดอกไม้ด้านขวาจนร่วงตกจากเก้าอี้เข่าทรุดลงกับพื้น ผู้ตายเข้าล็อกคอและดึงคอเสื้อจำเลยไว้พร้อมกับพูดว่าเอาให้ตาย และมีคนอีกกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามาจะรุมทำร้ายจำเลยจำเลยสะบัดหลุด แล้วชักปืนออกมาขู่ โดยหันปากกระบอกปืนขึ้นฟ้าพร้อมกับตะโกนว่าอย่าเข้ามาทันใดนั้นมีคนเข้ามาตะปบปืนในมือจำเลยเพื่อจะแย่งปืน ปืนลั่นขึ้น 1 นัด กระสุนถูกผู้ตายล้มลงถึงแก่ความตายจำเลยวิ่งหนี แต่คนกลุ่มนั้นวิ่งไล่ตามจะทำร้ายจำเลย จำเลยยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าอีก 1 นัด แล้ววิ่งไปได้หน่อยหนึ่งก็หมดสติล้มลงกระสุนปืนนัดที่สองพลาดไป ถูกผู้เสียหายบาดเจ็บสาหัส ดังนี้ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าหรือพยายามฆ่า จำเลยจึงไม่มีความผิดและจะถือว่าจำเลยกระทำให้ผู้อื่นตายโดยประมาท หรือรับอันตรายสาหัสโดยประมาทมิได้
เมื่อปรากฏว่าจำเลยมีใบอนุญาตพกอาวุธปืนของกรมตำรวจซึ่งจำเลย มีสิทธิพกอาวุธปืนได้ทั่วราชอาณาจักรเพื่อปฏิบัติราชการสืบสวน กรณีของจำเลยจึงไม่อยู่ในบังคับแห่ง มาตรา 8 ทวิ และจำเลย ย่อมไม่มีความผิดตาม มาตรา 72 ทวิ แห่ง พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ เมื่อปรากฏแก่ศาลฎีกาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพาอาวุธปืนพร้อมกระสุนไปตามทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและยิงนายประสิทธิ์ถึงแก่ความตาย กับยิงนายสมจิตรได้รับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ และพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
นางจรรยามารดาผู้ตายได้เข้าร่วมเป็นโจทก์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยยิงเพื่อป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ จำเลยคงมีความผิดฐานพกพาอาวุธปืนโดยมิได้รับอนุญาตเท่านั้น พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา ๘ ทวิ, ๗๒ ทวิ ริบของกลาง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุวิวาทกับผู้ตายก่อนจะอ้างว่ากระทำเพื่อป้องกันมิได้ พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘, ๘๐ ให้ลงโทษตาม มาตรา ๒๘๘ อีกด้วย
โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การวิวาทหมายถึงการสมัครใจเข้าต่อสู้ทำร้ายกันคำพูดของจำเลยที่ว่าการย้ายตำรวจต้องมีขั้นตอนต้องมีคณะกรรมการพิจารณา อย่าไปเชื่อให้มากนักเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นในการสนทนาบทโต๊ะอาหารเท่านั้น มิได้มีข้อความใดที่เป็นการท้าทายให้ผู้ตายหรือผู้เสียหายออกมาต่อสู้ทำร้ายกับจำเลย เพียงแค่นี้จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุวิวาทหาได้ไม่
ก่อนที่จะเกิดเหตุนายปรีชาหลานผู้ตายได้ใช้ขวดตีทำร้ายจำเลยที่ทัดดอกไม้เป็นแผลฉกรรจ์จนเข่าทรุดตกจากเก้าอี้ และนายประสิทธิ์ผู้ตายยังเข้าล็อคคอจำเลยและดึงคอเสื้อจำเลยไว้พร้อมกับพูดว่าเอาให้ตาย เพราะนายประสิทธิ์โกรธที่จำเลยพูดโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องอิทธิพลของนายประสิทธิ์ในการโยกย้ายตำรวจ นอกจากนี้ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งครูกันเข้ามาจะรุมทำร้ายจำเลย จำเลยจึงสะบัดหลุดจากการถูกล็อคคอของนารยประสิทธิ์แล้วชักปืนออกมาขู่โดยหันปากกระบอกปืนขึ้นฟ้าพร้อมกับตะโกนว่าอย่าเข้ามา ทันใดนั้นมีคนเข้ามาตะปบปืนในมือจำเลยเพื่อจะแย่งปืนปืนจึงเกิดลั่นขึ้น ๑ นัด กระสุนปืนถูกนายประสิทธิ์ที่หน้าท้องล้มลงถึงแก่ความตายจำเลยวิ่งหนีออกมาได้ แต่คนกลุ่มนั้นยังวิ่งไล่ตามมาจะทำร้ายจำเลยอีก จำเลยซึ่งอยู่ในอาการหวาดกลัวและมึนงงเพราะถูกตีจึงยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าอีก ๑๑ นัด แล้ววิ่งหนีต่อไปอีกหน่อยก็หมดสติล้มลง กระสุนปืนนัดที่สองพลาดไปถูกข้อมือนายสมจิตรซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารอีกโต๊ะหนึ่ง ดังนั้นการที่จำเลยถือปืนชูขึ้นฟ้าย่อมแสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้ใด นอกจากจะมีเจตนาเพื่อขู่ไม่ให้ผู้เสียหายเหล่านั้นเข้ามารุมทำร้ายจำเลยเท่านั้น แต่เนื่องจากมีผู้มาตะปบปืนในมือจำเลยเพื่อจะแย่งปืนจึงเป็นเหตุให้ปืนเกิดลั่นขึ้น และกระสุนเผอิญไปถูกนายประสิทธิ์ซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับจำเลยอยู่ถึงแก่ความตาย ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่านายประสิทธิ์ การที่จำเลยยิงขู่นัดที่สองแต่กระสุนพลาดไปถูกนายสมจิตรที่ข้อมือขวาได้รับอันตรายสาหัสเช่นนี้เมื่อฟังว่าจำเลยทำด้วยเจตนายิงขึ้นฟ้าเพื่อขู่แล้ว ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานฆ่านายประสิทธิ์โดยเจตนาหรือพยายามฆ่านายสมจิตรและจะถือว่าจำเลยกระทำให้คนตายโดยประมาทหรือกระทำให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสโดยประมาทก็ไม่ได้
ส่วนข้อหาพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ปรากฏว่าจำเลยมีใบอนุญาตพกอาวุธปืนของกรมตำรวจตามเอกสารหมาย ล.๑ เป็นหลักฐานแสดงว่าจำเลยเป็นพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ราชการพิเศษในศูนย์ข่าวร่วมพลเรือนตำรวจทหารได้รับใบอนุญาตของกรมตำรวจให้พกอาวุธปืนรีวอลเวอร์ขนาด .๓๘ เลขทะเบียน อด.๑/๑๕๖๙๐ เพื่อสืบสวนราชการได้ ขณะเกิดเหตุไม่ปรากฏว่าได้มีการถอนใบอนุญาตดังกล่าว และใบอนุญาตนั้นก็มิได้จำกัดว่าให้ผู้ถือใบอนุญาตมีสิทธิพกอาวุธปืนได้เฉพาะในเขตจังหวัดอุดรธานีเท่านั้นจึงต้องฟังว่าจำเลยมีสิทธิพกอาวุธปืนตามใบอนุญาตนั้นได้ทั่วราชอาณาจักรเพื่อปฏิบัติราชการสืบสวนโดยไม่อยู่ในบังคับของมาตรา ๘ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ จำเลยจึงย่อมไม่มีความผิดตามมาตรา ๗๒ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ โดยที่คดีอาญาเรื่องนี้ยังไม่ถึงที่สุด เมื่อคดีปรากฏแก่ศาลฎีกาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ดังกล่าวแล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘๕, ๒๑๕, ๒๒๕
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทุกข้อหา คืนของกลางแก่จำเลย