แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยตกลงค้ำประกันหนี้ของกิจการร่วมค้าชนิดไม่มีเงื่อนไข และชนิดไม่เพิกถอน จำเลยต้องชำระหนี้ค้ำประกันแก่โจทก์ทันทีที่โจทก์เรียกให้ชำระ โดยไม่มีสิทธิที่จะคัดค้าน และไม่มีสิทธิเรียกให้โจทก์ไปเรียกร้องจากกิจการร่วมค้าก่อนก็ตาม แต่ตามที่โจทก์และจำเลยปฏิบัติต่อกัน จำเลยไม่ได้ชำระหนี้ภายในเวลาที่โจทก์กำหนด โจทก์ก็มิได้ถือเอากำหนดเวลาเป็นสาระสำคัญแต่ได้ผ่อนเวลาเรื่อยมา การที่จำเลยไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่โจทก์ผ่อนเวลาให้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 นอกจากนี้โจทก์ก็รับเงินที่ชำระโดยไม่อิดเอื้อน หรือขอสงวนสิทธิในการเรียกดอกเบี้ย เนื่องจากการชำระหนี้ที่ล่าช้า แต่โจทก์กลับออกใบเสร็จรับเงินให้จำเลยว่าได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากการค้ำประกันแล้ว และโจทก์ยังได้คืนหนังสือสัญญาค้ำประกันทั้ง 8 ฉบับ ให้จำเลยด้วย โจทก์จึงไม่ติดใจเรียกค่าเสียหายที่จำเลยชำระเงินล่าช้า แม้โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวฉบับลงวันที่ 4 มิถุนายน 2541 เรียกให้จำเลยชำระค่าเสียหายดังกล่าว ก็เป็นการเรียกร้องภายหลังจากการชำระหนี้การค้ำประกันของจำเลยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ย่อมไม่ทำให้โจทก์กลับมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าวขึ้นมาอีก จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยเนื่องจากจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ล่าช้า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 30,671,480.52 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 24,095,434.61 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 50,000 บาท แทนจำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยตามฟ้องให้โจทก์หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า แม้การค้ำประกันตามหลักประกันการจ่ายเงินล่วงหน้าของสัญญา จำเลยตกลงค้ำประกันหนี้ของกิจการร่วมค้าชนิดไม่มีเงื่อนไขและชนิดไม่เพิกถอน จำเลยต้องชำระหนี้ค้ำประกันให้แก่โจทก์ทันทีที่โจทก์เรียกให้ชำระ โดยไม่มีสิทธิที่จะคัดค้าน และไม่มีสิทธิเรียกให้โจทก์ไปเรียกร้องจากกิจการร่วมค้าก่อนก็ตาม แต่ตามที่โจทก์และจำเลยปฏิบัติต่อกัน จำเลยไม่ได้ชำระหนี้ดังกล่าวภายในเวลาที่โจทก์กำหนดตามหนังสือบอกกล่าวฉบับแรก ซึ่งจำเลยต้องชำระภายในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2540 จำเลยไม่ได้ชำระ โจทก์ก็มิได้มีเจตนาที่จะถือเอากำหนดเวลาดังกล่าวเป็นสาระสำคัญ แต่ได้ผ่อนเวลาการชำระหนี้ของจำเลยดังกล่าวเรื่อยมา โดยการมีหนังสือบอกการประชุมร่วมกันระหว่างโจทก์และจำเลย ผ่อนระยะเวลาการชำระหนี้ออกไปทุกครั้ง แม้ในหนังสือบอกกล่าวการชำระหนี้ฉบับสุดท้าย ซึ่งกำหนดให้จำเลยนำเงินมาชำระภายในวันที่ 27 มีนาคม 2541 จำเลยก็ไม่ยอมชำระ จำเลยนำเงินมาชำระภายหลังจากนั้นอีกเกือบ 2 เดือน (ชำระวันที่ 26 พฤษภาคม 2541) นับระยะเวลาที่โจทก์ผ่อนเวลาการชำระเงินให้จำเลยตั้งแต่มีหนังสือบอกกล่าวเตือนให้จำเลยชำระเงินฉบับแรกจนถึงเวลาที่จำเลยชำระเงินให้โจทก์ถึง 1 ปีเศษ ที่โจทก์ฎีกาว่าพฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวไม่ถือว่าโจทก์ได้ยินยอมผ่อนเวลาเลื่อนการชำระหนี้ของจำเลยออกไปนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฉะนั้น การที่จำเลยไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่โจทก์ผ่อนเวลาให้ดังกล่าว จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 นอกจากนี้โจทก์ก็รับเงินที่ชำระโดยไม่อิดเอื้อนหรือขอสงวนสิทธิในการเรียกดอกเบี้ยเนื่องจากการชำระหนี้ที่ล่าช้าเลย ไม่ว่าระยะเวลาใด ๆ ก่อนที่จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวให้โจทก์ แต่โจทก์กลับออกใบเสร็จรับเงินให้จำเลยว่าได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากการค้ำประกันตามหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาแล้ว เป็นเงิน 65,840,499.52 บาท และ 4,098,294.52 ดอลลาร์สหรัฐ ตามสำเนาใบเสร็จรับเงิน และโจทก์ยังได้คืนหนังสือสัญญาค้ำประกันทั้ง 8 ฉบับ ให้จำเลยด้วย โจทก์จึงไม่ติดใจเรียกค่าเสียหายที่จำเลยชำระเงินล่าช้า แม้โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวฉบับลงวันที่ 4 มิถุนายน 2541 เรียกให้จำเลยชำระค่าเสียหายดังกล่าวเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ครบกำหนดชำระ เป็นเงิน 24,095,434.61 บาท ก็เป็นการเรียกร้องภายหลังจากการชำระหนี้การค้ำประกันของจำเลยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ย่อมไม่ทำให้โจทก์กลับมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าวขึ้นมาอีก จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยเนื่องจากจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ล่าช้าตามฟ้อง คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์อ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ