คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 921/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์แล้วจำเลยที่ 2 เข้าทำสัญญาแย่งซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยให้ราคาสูงกว่าแล้วจำเลยที่ 2 สมยอมกันทำสัญญายอมความเพื่อให้จำเลยที่ 2 ใช้สิทธิอันไม่สุจริตนำสัญญาไปฟ้องศาลเพื่อขายทอดตลาดอันเป็นเหตุให้โจทก์บังคับคดีไม่ได้เมื่อโจทก์ชนะคดีจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 3 สมยอมกับจำเลยที่ 1 ทำหลักฐานแห่งหนี้ขึ้นฟ้องจำเลยที่ 1 โดยมิได้เป็นหนี้กันจริงแล้วยื่นคำร้องขอเฉลี่ยเงินที่จะได้จากการขายทอดตลาดที่ดินแปลงนี้การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ในคดีแพ่งแดงที่ 107/2503 จำเลยที่ 2 นำยึดที่พิพาทเพื่อขายทอดตลาดโจทก์ร้องขัดทรัพย์ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ อ้างว่าโจทก์อยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิที่พิพาทได้ก่อนจำเลยที่ 2 ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยทั้ง 3 สมคบกันแสดงเจตนาลวงโดยจำเลยที่ 2 ใช้เล่ห์เพทุบายแย่งซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 และทำสัญญายอมความกันโดยไม่สุจริตเพื่อยึดที่พิพาทมาขายทอดตลาด ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญายอมที่นำมาฟ้องสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตลอดจนคำขอบังคับเป็นคนละอย่างต่างกัน ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำฟ้องของโจทก์บรรยายถึงการกระทำของจำเลยทั้ง 3 ว่า ได้สมคบกันแสดงเจตนาลวง ทำสัญญาขึ้นโดยไม่สุจริต เพื่อขัดขวางมิให้โจทก์ได้รับโอนที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 ในเมื่อโจทก์ชนะคดีจำเลยที่ 1 เป็นการเพียงพอจะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการครอบครองที่ 26/364 ให้โจทก์ในราคา 30,000 บาท จำเลยทั้ง 3รู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบได้สมคบกันแสดงเจตนาลวงโดยจำเลยที่ 2 ได้แย่งซื้อที่ดินแปลงนี้จากจำเลยที่ 1 ในราคาสูงกว่าที่จำเลยที่ 1 ตกลงขายให้โจทก์แล้วไปทำโอนกันที่อำเภอ โจทก์ไปคัดค้าน อำเภอสั่งให้โจทก์มาฟ้องประกอบกับจำเลยที่ 1 บิดพลิ้วไม่ยอมขายที่ให้โจทก์ โจทก์จึงฟ้องขออำนาจศาลบังคับตามสำนวนคดีแดงที่ 163/2503 และในขณะที่โจทก์กำลังดำเนินคดี จำเลยที่ 1-2 ได้สมยอมทำสัญญายอมความขึ้นเพื่อให้จำเลยที่ 2 ใช้สิทธิไม่สุจริตนำสัญญายอมความดังกล่าวมาฟ้องต่อศาลเป็นคดีแดงที่ 107/2503 เพื่ออาศัยอำนาจศาลยึดที่ดินแปลงนี้ขายทอดตลาดให้พ้นจากการบังคับคดีแก่ตัวทรัพย์ที่พิพาทในคดีของโจทก์ ในเมื่อโจทก์ชนะคดีจำเลยที่ 1 แล้ว ส่วนจำเลยที่ 3 มิได้เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ได้สมยอมกับจำเลยที่ 1 ทำหลักฐานแห่งนี้ขึ้นฟ้องร้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีแดงที่ 126/2503 แล้วยื่นคำร้องขอเฉลี่ยเงินจากการขายทอดตลาดที่ดินแปลงนี้ ซึ่งจำเลยที่ 2 นำยึดไว้ในสำนวนคดีแดงที่107/2503 ทั้งนี้ เพื่อจะแบ่งเงินจากการขายทอดตลาดที่ดินแปลงนี้มาเป็นของพวกตนให้มากที่สุด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและเสียเปรียบ

ขอให้ศาลพิพากษาว่า สัญญายอมความที่จำเลยที่ 2 นำมาฟ้องเป็นคดีแดงที่ 107/2503 เป็นโมฆะ และให้เพิกถอนการยึดที่ดินพิพาทและให้พิพากษาว่าสัญญากู้เงินที่จำเลยที่ 3 นำมาฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีแพงที่ 126/2503 เป็นโมฆะ ไม่มีสิทธิร้องขอเฉลี่ยได้

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ไม่เคยใช้กลฉ้อฉลหรือสมคบกับผู้ใดทำให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ

จำเลยที่ 2 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 107/2503 โจทก์ยื่นคำร้องยึดทรัพย์ ศาลสั่งยกคำร้องคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจขอให้ศาลสั่งถอนการยึด โจทก์ฟ้องคดีนี้ซ้ำกับคดีก่อน

จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยมิได้สมคบกับผู้ใด จำเลยไม่ได้ใช้กลฉ้อฉลทำให้โจทก์เสียหาย

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริต โจทก์ชอบที่จะขอให้เพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 สัญญากู้เงินที่จำเลยที่ 3 นำมาฟ้องจำเลยที่ 1 ตามคดีแดงที่ 126/2503 ก็เป็นการสมคบกันทำโดยมิได้เป็นหนี้จริง พิพากษาว่า สัญญายอมความที่จำเลยที่ 2 นำมาฟ้องจำเลยที่ 1 และคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งแดงที่ 107/2503 ไม่ผูกพันโจทก์ในการที่จะบังคับจำเลยที่ 1 โอนทรัพย์สินที่พิพาทให้โจทก์ ให้เพิกถอนการยึดที่ดินพิพาทตามทะเบียนการครอบครองที่ 26/364 ในคดีแดงที่ 107/2503 เสียจำเลยที่ 3 ไม่มีสิทธิเอาสัญญากู้และคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งแดงที่126/2503 มาขอเฉลี่ย และบังคับคดีแก่ทรัพย์สินที่พิพาทซึ่งยึดไว้ในคดีแพ่งแดงที่ 107/2503

จำเลยที่ 2 ที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์ฟ้อง คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ว่า

1. โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่

2. โจทก์ฟ้องซ้ำกับคำร้องขัดทรัพย์ของโจทก์ในคดีแพ่งแดงที่ 107/2503 หรือไม่

3. ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่

4. สัญญาประนีประนอมที่จำเลยที่ 1 กับที่ 2 ทำกันไว้แล้วนำมาฟ้องศาลเป็นคดีแพ่งแดงที่ 107/2503 ได้ทำโดยไม่สุจริตเพื่ออาศัยคำพิพากษายึดทรัพย์ เพื่อไม่ให้โจทก์บังคับคดีรับซื้อที่พิพาทหรือไม่

5. จำเลยที่ 1 กับที่ 3 ได้ทำสัญญากู้โดยสมยอมกันจริงหรือไม่

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

ตามฎีกาข้อ 1 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 ได้เข้าทำสัญญาแย่งซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยให้ราคาสูงกว่าแล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้สมยอมกันทำสัญญายอมความขึ้น เพื่อให้จำเลยที่ 2 ได้สิทธิอันไม่สุจริต นำสัญญายอมความดังกล่าวไปฟ้องต่อศาล เป็นคดีแดงที่ 107/2503 เพื่อขายทอดตลาดอันเป็นเหตุให้โจทก์ขอบังคับคดีไม่ได้ในเมื่อโจทก์ชนะคดีจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 3 ก็สมยอมกับจำเลยที่ 1ทำหลักฐานแห่งหนี้ขึ้นฟ้องจำเลยที่ 1 โดยมิได้เป็นหนี้กันจริงแล้วยื่นคำร้องขอเฉลี่ยเงินที่จะได้จากการขายทอดตลาดที่ดินแปลงนี้เพื่อประสงค์จะแบ่งเงินที่จะได้จากการขายทอดตลาดมาเป็นของพวกของตนให้มากที่สุด เป็นที่คาดหมายได้ว่าจะมีการสู้ราคาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 อันจะทำให้ราคาขายสูงขึ้นผิดปกติ ศาลฎีกาเห็นว่าเห็นได้ชัดว่าการกระทำของจำเลยย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ตามฎีกาข้อ 2 ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีแพ่งแดงที่ 107/2503 จำเลยที่ 2 นำยึดที่พิพาทเพื่อขายทอดตลาด โจทก์ร้องขัดทรัพย์อ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โจทก์อยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิที่พิพาทได้ก่อนจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิยึดที่พิพาท ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยที่ 3 สมคบกันแสดงเจตนาลวง โดยจำเลยที่ 2 ใช้เล่ห์เพทุบายแย่งซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 แล้วทำสัญญายอมความกันโดยไม่สุจริตเพื่อยึดที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 แล้วทำสัญญายอมความกันโดยไม่สุจริตเพื่อยึดที่พิพาทขายทอดตลาด ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญายอมความที่นำมาฟ้องตามคดีแดงที่ 107/2503 สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตลอดจนคำขอบังคับ เป็นคนละอย่างต่างกัน ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ตามฎีกาข้อ 3 ศาลฎีกาเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายชัดแจ้งถึงการกระทำของจำเลยทั้ง 3 ว่า ได้สมคบกันแสดงเจตนาลวงทำสัญญาขึ้นโดยไม่สุจริต เพื่อขัดขวางมิให้โจทก์ได้รับโอนที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 ในเมื่อโจทก์ชนะคดี เป็นการเพียงพอจะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ตามฎีกาข้อ 4 ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 สมคบกันแสดงเจตนาลวง ทำสัญญาประนีประนอมรับสภาพหนี้ เพื่อให้จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องตามฎีกาข้อ 5 ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้ง 3 ได้สมคบกันให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 แสดงเจตนาลวง ทำสัญญากู้เงินโดยมิได้เป็นหนี้จริง

พิพากษายืน

Share