คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9700/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ศาลมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 โดยมีคำพิพากษาให้คืนค่าขึ้นศาลแก่โจทก์เป็นกรณีพิเศษเป็นเงิน 180,000 บาท โจทก์ทราบคำพิพากษาแล้วจึงมีสิทธิจะเรียกเอาค่าขึ้นศาลคืนนับแต่เวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเป็นต้นไป และจะต้องขอค่าขึ้นศาลคืนภายใน 5 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษาตามยอม แม้โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับค่าขึ้นศาลคืน ภายในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แสดงหนังสือมอบอำนาจให้แก่ นาย ม. มีอำนาจรับเงินจากศาลเสียก่อนจึงจะพิจารณาสั่ง เท่ากับศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์รับค่าขึ้นศาลคืนในวันดังกล่าว การที่โจทก์ยื่นคำแถลงขอส่งหนังสือมอบอำนาจให้ นาย ม. มีอำนาจรับเงินจากศาลในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2549 พ้นกำหนด 5 ปี โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะขอรับค่าขึ้นศาลคืนเพราะเงินดังกล่าวได้ตกเป็นของแผ่นดินแล้ว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์รับค่าขึ้นศาลคืน จึงเป็นการสั่งโดยผิดหลง เป็นกระบวนการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น แล้วมีคำสั่งใหม่ให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 77,053,548.59 บาท และดอกเบี้ยค้างชำระ 44,351,573.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา MLR ต่อปี ซึ่งขณะทำสัญญาประนีประนอมยอมความเท่ากับร้อยละ 7.5 ต่อปี (แต่อัตราดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามที่โจทก์ประกาศกำหนด) ของต้นเงินที่ค้างชำระจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยทั้งสองชำระค่าฤชาธรรมเนียมส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนและค่าทนายความ 20,000 บาท แก่โจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และให้คืนค่าขึ้นศาลแก่โจทก์เป็นกรณีพิเศษ 180,000 บาท
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับค่าขึ้นศาลคืนโดยมอบฉันทะให้นายโกวิท ทนายความโจทก์เป็นผู้รับเงินแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แสดงหนังสือมอบอำนาจให้แก่นายมนต์มนัส ก่อนจึงจะพิจารณาสั่ง
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2549 โจทก์ยื่นคำแถลงขอส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์มอบอำนาจให้นายมนต์มนัสมีอำนาจรับเงินจากศาล และให้นายมนต์มนัสมีอำนาจมอบอำนาจช่วงให้พนักงานของธนาคารดำเนินการดังกล่าวได้ และในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับเงินค่าขึ้นศาลคืน โดยนายมนต์มนัสมอบฉันทะให้นายโกวิทเป็นผู้รับเงินแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ต่อมาวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2550 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 และมีคำสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลแก่โจทก์เป็นกรณีพิเศษ 180,000 บาท เงินจำนวนดังกล่าวถือเป็นเงินค้างจ่ายในศาล ซึ่งโจทก์ต้องเรียกร้องเอาภายใน 5 ปี นับแต่วันที่มีสิทธิรับไป แม้โจทก์ได้ยื่นคำแถลงขอรับเงินคืนเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 แต่ศาลมีคำสั่งให้โจทก์แสดงหลักฐานหนังสือมอบอำนาจก่อนจึงจะพิจารณาสั่ง การแสดงหลักฐานหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจึงต้องกระทำภายใน 5 ปี ด้วย แต่โจทก์แถลงขอส่งเอกสารดังกล่าวเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2549 พ้นกำหนด 5 ปี แล้ว คำสั่งศาลที่ให้ตรวจคืนค่าขึ้นศาลตามคำแถลงฉบับลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 จึงเป็นการสั่งโดยผิดหลง อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 จึงให้เพิกถอนคำสั่งนี้เสีย และมีคำสั่งให้ยกคำแถลงขอรับค่าขึ้นศาลคืนลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งยกคำแถลงขอรับค่าขึ้นศาลคืนนั้นชอบหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับค่าขึ้นศาลคืน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2546 ให้โจทก์แสดงหนังสือมอบอำนาจให้แก่นายมนต์มนัส ก่อนจึงจะพิจารณาสั่ง แสดงว่าศาลยังไม่ได้อนุญาตให้โจทก์รับค่าขึ้นศาลคืนไป ดังนั้น การที่โจทก์ส่งหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ให้นายมนต์มนัสมีอำนาจรับเงินจากศาลในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2549 เพื่อให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์รับค่าขึ้นศาลคืนไป โจทก์ได้รับอนุญาตให้ตรวจคืนได้ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 โจทก์จึงมีหน้าที่ขอรับเงินคืนภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตนั้น เห็นว่า ศาลมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 โดยมีคำพิพากษาให้คืนค่าขึ้นศาลแก่โจทก์เป็นกรณีพิเศษ 180,000 บาทด้วย โจทก์ทราบคำพิพากษาแล้วจึงมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าขึ้นศาลคืนนับแต่เวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเป็นต้นไปและจะต้องขอค่าขึ้นศาลคืนภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม แม้โจทก์จะยื่นคำแถลงขอรับค่าขึ้นศาลคืนในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แสดงหนังสือมอบอำนาจให้แก่นายมนต์มนัสมีอำนาจรับเงินจากศาลเสียก่อนจึงจะพิจารณาสั่ง เท่ากับศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์รับค่าขึ้นศาลคืนในวันดังกล่าว การที่โจทก์ยื่นคำแถลงขอส่งหนังสือมอบอำนาจให้นายมนต์มนัสมีอำนาจรับเงินจากศาลในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2549 พ้นกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่โจทก์มีสิทธิขอรับค่าขึ้นศาลคืน โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะขอรับค่าขึ้นศาลคืน เพราะเงินดังกล่าวได้ตกเป็นของแผ่นดินแล้ว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์รับค่าขึ้นศาลคืนตามคำแถลงของโจทก์ฉบับลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 จึงเป็นการสั่งโดยผิดหลง เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น แล้วมีคำสั่งใหม่ให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้โจทก์รับค่าขึ้นศาลคืน แล้วมีคำสั่งใหม่เป็นว่าให้ยกคำแถลงขอรับเงินค่าขึ้นศาลคืน และศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์อ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share