คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3503/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างบ้านให้จำเลยเพื่อที่จำเลยจะนำไปขาย เป็นกรณีที่โจทก์รับจ้างทำของให้แก่จำเลย โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการค้าเรียกเอาค่าการงานที่ได้ทำ แต่การที่โจทก์ก่อสร้างให้แก่จำเลยนั้น จำเลยกระทำเพื่อนำไปจำหน่ายในโครงการจัดสรรที่ดินตามวัตถุประสงค์จำเลย การกระทำของโจทก์จึงเป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ จึงมีอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (5) ประกอบมาตรา 193/34 (1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ปลูกสร้างบ้านในหมู่บ้านโครงการบ้านเมืองหลวง ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลเสม็ดเหนือ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา โจทก์ได้ก่อสร้างบ้านให้จำเลยหลายหลัง จำเลยชำระค่าจ้างให้โจทก์บางส่วน คงค้างชำระ 1,112,724 บาท แต่จำเลยไม่ชำระ จำเลยต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2541 เป็นต้นไป คำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 166,908.60 บาท รวมเป็นเงิน 1,279,632.60 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,112,724 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างบ้านเป็นการจ้างทำของมีอายุความเพียง 2 ปี นับแต่กันยายน 2540 เมื่อโจทก์ฟ้องวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 คดีโจทก์จึงขาดอายุความ โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยใช้วัสดุที่ด้อยคุณภาพและไม่ถูกต้องตามสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์โดยจำเลยจัดสรรที่ดินและปลูกสร้างบ้านขายใช้ชื่อโครงการว่า บ้านเมืองหลวง เมื่อกุมภาพันธ์ 2539 จำเลยว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ในโครงการดังกล่าว 10 หลัง 3 แบบ แบบราชวงศ์ ราคาหลังละ 983,000 บาท แบบเพลินจิต ราคาหลังละ 800,000 บาท และแบบราชเทวี ราคาหลังละ 806,000 บาท ตกลงแบ่งชำระตามงวดงานที่ทำสัญญากันไว้ หากโจทก์ทำงานครบงวดงาน โจทก์จะส่งใบแจ้งหนี้เพื่อให้จำเลยส่งเจ้าหน้าที่ตรวจงวดงานเสร็จแล้วจะส่งเรื่องให้จำเลยเพื่อชำระเงินตามงวดงานซึ่งปกติจะชำระภายใน 15 วัน ตามสัญญาจ้างเหมาเอกสารหมาย จ.7 หลังจากทำการก่อสร้างตามสัญญาจ้างแล้ว จำเลยว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างต่อโดยไม่ได้ทำสัญญาจ้างกันไว้คงให้ถือสัญญาเดิม โจทก์ได้ก่อสร้างบ้านให้แก่จำเลยต่อมาจำเลยไม่ชำระค่าจ้าง
มีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างบ้านให้จำเลยเพื่อที่จำเลยจะนำไปขายเป็นกรณีที่โจทก์รับจ้างทำของให้แก่จำเลย โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการค้าเรียกเอาค่าการงานที่ได้ทำ แต่การที่โจทก์ก่อสร้างให้แก่จำเลยนั้น จำเลยกระทำเพื่อนำไปจำหน่ายในโครงการจัดสรรที่ดินตามวัตถุประสงค์ของจำเลย การกระทำของโจทก์จึงเป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ จึงมีอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (5) ประกอบมาตรา 193/34 (1) ดังนั้น เมื่อนับจากกุมภาพันธ์ 2540 ถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 ซึ่งเป็นวันฟ้องยังไม่ถึงกำหนด 5 ปี คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยค้างชำระค่าจ้างแก่โจทก์หรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยแต่เนื่องจากศาลชั้นต้นได้พิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จสิ้นแล้ว ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยโดยไม่ย้อนสำนวน และเห็นว่า… ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ได้ดำเนินการก่อสร้างให้แก่จำเลยถูกต้องตามสัญญาทุกประการ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 1,112,724 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยก่อนฟ้อง (วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543) ต้องไม่เกิน 166,908.60 บาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 20,000 บาท

Share