คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3751/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นตัวจำเลยนั้น จำเลยกำลังขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวของจำเลย ซึ่งมีลูกค้ากำลังนั่งรับประทานก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ร้านของจำเลย ดังนี้ร้านก๋วยเตี๋ยวของจำเลยจึงหาใช่เป็นที่รโหฐานไม่ แต่เป็นที่สาธารณสถานเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมีเหตุอันควรสงสัยว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองอันเป็นความผิดต่อกฎหมาย เจ้าพนักงานตำรวจย่อมมีอำนาจค้นจำเลยได้โดยไม่ต้องมีหมายค้นตาม ป.วิ.อ. มาตรา 93 และเมื่อตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนอยู่ในครอบครองของจำเลย การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดซึ่งหน้า เจ้าพนักงานตำรวจย่อมมีอำนาจจับจำเลยได้โดยไม่ต้องมีหมายจับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 78 (1) การตรวจค้นและจับกุมจึงชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2541 เวลากลางวัน จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 52 เม็ด น้ำหนัก 4.67 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำเลยได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่สายลับจำนวน 1 เม็ด น้ำหนัก 0.09 กรัม ในราคา 100 บาท โดยไม่ได้รับอนุญาตเหตุเกิดที่ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนจำนวน 52 เม็ด ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและได้จำหน่ายดังกล่าว ธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อ 1 ฉบับ ธนบัตรที่จำเลยได้มาจากการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ 1,900 บาท และกระเป๋า 1 ใบ ซึ่งใช้บรรจุยาเสพติดให้โทษเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91 ริบของกลางทั้งหมด ยกเว้นธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 จำคุก 3 ปี คำรับของจำเลยในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนและกระเป๋า 1 ใบ ของกลาง ยกเว้นธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อ คืนธนบัตรจำนวน 1,900 บาท แก่เจ้าของข้อหาและคำขออื่นให้ยก
จำเลยอุธทรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 67 (ที่แก้ไขใหม่) ส่วนกำหนดโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยและยึดได้เมทแอมเฟตมีนของกลางจำนวน 52 เม็ด ซึ่งมีการตรวจพิสูจน์แล้วว่าเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดเมทแอมเฟตามีนมีน้ำหนัก 4.67 กรัม คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวน 51 เม็ด น้ำหนัก 4.58 กรัม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาหรือไม่ โจทก์มีพยานผู้จับกุมจำเลยมาสืบ 2 ปาก คือ ร้อยตำรวจเอกนิตย์และดาบตำรวจบุญมีเบิกความว่าหลังจากสายลับได้นำเมทแอมเฟตามีนที่ล่อซื้อได้จากจำเลยจำนวน 1 เม็ดมามอบให้ร้อยตำรวจเอกนิตย์แล้ว พยานทั้งสองกับพวกได้เข้าตรวจค้นจับกุมจำเลยที่แผงขายก๋วยเตี๋ยวโดยแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจให้จำเลยล้วงกระเป๋าทุกกระเป๋าออกมา ผลการตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนสีส้มอยู่ในหลอดพลาสติกปิดหัวท้ายหลอดละ 1 เม็ด จำนวน 51 เม็ด อยู่ในกระเป๋าสตางค์ซึ่งคาดอยู่ที่เอวจำเลยร้อยตำรวจเอกนิตย์สอบถามจำเลยแล้ว จำเลยยอมรับว่านายสมพงษ์และนางกาญจนาให้เมทแอมเฟตามีนดังกล่าวแก่จำเลยมาขาย พยานทั้งสองจึงจับกุมจำเลยและแจ้งข้อหาว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำเลยให้การรับสารภาพ ที่จำเลยฎีกาว่า ร้อยตำรวจเอกนิตย์เบิกความขัดกันเองเกี่ยวกับการตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีน เนื่องจากร้อยตำรวจเอกนิตย์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานให้จำเลยถอดกระเป๋าคาดเอวของจำเลยออกมาให้พยานตรวจสอบ เมื่อได้รับกระเป๋าคาดเอวจากจำเลยแล้วพยานได้เทสิ่งของภายในกระเป๋าดังกล่าวออกมาพบว่ามีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 51 เม็ด อยู่ภายในกระเป๋าดังกล่าว เห็นว่า โดยสาระสำคัญของคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกนิตย์ในการตอบโจทก์และตอบทนายจำเลยถามค้านหาได้ขัดแย้งกันไม่แต่กลับได้ความตรงกันว่า ตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางจากกระเป๋าสตางค์ซึ่งคาดอยู่ที่เอวจำเลย เพียงแต่พยานเบิกความตอบโจทก์และทนายจำเลยถึงเหตุการณ์คนละตอนกัน กล่าวคือ เมื่อพยานให้จำเลยล้วงกระเป๋าคาดเอวพบเมทแอมเฟตามีนแล้วจึงให้จำเลยถอดกระเป๋าดังกล่าวให้พยานและพยานเทสิ่งของออกจากกระเป๋า ที่จำเลยฎีกาว่า คำเบิกความของร้อยตำรวจเอกนิตย์ขัดกับบันทึกการจับกุมแต่ไม่ปรากฏตามฎีกาของจำเลยว่าขัดกันอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ ที่จำเลยฎีกาว่า หากร้อยตำรวจเอกนิตย์ตรวจพบเมทแอมเฟตามีนที่กระเป๋าคาดเอวของจำเลยจริง ร้อยตำรวจเอกนิตย์คงจะทำบันทึกการจับกุมขณะที่ตรวจพบเมทแอมเฟตามีน ไม่จำเป็นต้องไปทำบันทึกการจับกุมที่สถานีตำรวจนั้น เห็นว่า การทำบันทึกการจับกุมที่ไหนหาได้เป็นสาระสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดหรือเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ แต่เนื้อหาของบันทึกการจับกุมต่างหากที่อาจแสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ ซึ่งตามบันทึกการจับกุมระบุว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามที่ถูกกล่าวหา ที่จำเลยฎีกาว่า ไม่ได้ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมโดยสมัครใจนั้น เห็นว่า หากเจ้าพนักงานตำรวจบังคับให้จำเลยรับสารภาพในชั้นจับกุมดังที่จำเลยกล่าวอ้าง เจ้าพนักงานตำรวจก็น่าจะบังคับให้จำเลยให้การในชั้นสอบสวนให้ตรงกับบันทึกการจับกุม แต่ปรากฏตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย ซึ่งระบุว่าทำขึ้นในวันเดียวกับบันทึกการจับกุม แต่จำเลยให้การในชั้นสอบสวนปฏิเสธว่าเมทแอมเฟตามีน 51 เม็ด ของกลางไม่ใช่ของจำเลยและเจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้ค้นจากตัวจำเลย จึงเชื่อว่าเจ้าพนักงานตำรวจบันทึกคำให้การทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนไปตามที่จำเลยให้การ หาได้ข่มขู่บังคับให้จำเลยให้การในชั้นจับกุมดังที่จำเลยกล่าวอ้างไม่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีพยานมาเบิกความยืนยันว่า เจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้ตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีน 51 เม็ด จากตัวจำเลย คือนายองอาจซึ่งขณะเบิกความได้บวชเป็นพระภิกษุคำเบิกความจึงน่าเชื่อถือนั้น เห็นว่า พยานบุคคลของโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการไปตามอำนาจหน้าที่ไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยตามที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 51 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้องในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและข้อหาจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน โจทก์ไม่อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่ามีการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย การตรวจค้นและจับกุมจำเลยไม่สามารถกระทำได้เพราะไม่ใช่เป็นความผิดซึ่งหน้า และเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นจำเลยโดยไม่มีหมายค้นจากศาลการตรวจค้นและจับกุมจำเลยกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลไม่สามารถลงโทษจำเลยได้นั้น เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังไม่ได้ว่ามีการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยดังที่จำเลยฎีกา แต่ได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกนิตย์พยานโจทก์และตัวจำเลยตรงกันว่าขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นตัวจำเลยนั้น จำเลยกำลังขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวของจำเลย โดยจำเลยเบิกความว่า มีลูกค้ากำลังนั่งรับประทานก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ร้านของจำเลย ดังนี้ร้านก๋วยเตี๋ยวของจำเลยจึงหาใช่เป็นที่รโหฐานไม่ แต่เป็นที่สาธารณสถานเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมีเหตุอันควรสงสัยว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองอันเป็นความผิดต่อกฎหมาย เจ้าพนักงานตำรวจย่อมมีอำนาจค้นจำเลยได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 93 และเมื่อตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนอยู่ในครอบครองของจำเลย การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดซึ่งหน้า เจ้าพนักงานตำรวจย่อมมีอำนาจจับจำเลยได้โดยไม่ต้องมีหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 (1) การตรวจค้นและจับกุมจึงชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share