คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3304/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยมิได้ส่งตัวผู้ต้องหาให้แก่โจทก์ตามกำหนดนัดย่อมทำให้จำเลยตกเป็นผู้ผิดสัญญาประกัน โจทก์ชอบที่จะบังคับตามสัญญาประกันได้โดยมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระเงินตามจำนวนที่ตีราคาประกันไว้ในสัญญาประกันซึ่งมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ แต่การชำระหนี้ดังกล่าวมิได้กำหนดระยะเวลาอันพึงจะชำระแก่กันไว้ โจทก์ชอบที่จะบอกกล่าวกำหนดเวลาให้จำเลยชำระหนี้ก่อน เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้นั้นย่อมได้ชื่อว่าผิดนัดนับแต่เมื่อนั้น กรณีมิใช่หนี้ที่กำหนดระยะเวลาชำระวันเดียวกับวันที่จำเลยไม่ส่งตัวผู้ต้องหาให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการครูได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยประกันตัวนายชัยยา นุ้ยแนบ ผู้ต้องหาไปจากการควบคุมตัวของโจทก์ในระหว่างสอบสวน โดยจำเลยทำสัญญาประกันจะส่งตัวผู้ต้องหาต่อโจทก์ตามที่โจทก์กำหนดนัดทุกครั้งที่พนักงานสอบสวนเรียกตัว หรือจนกว่าจะส่งพนักงานอัยการ ถ้าจำเลยผิดสัญญาไม่ส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนดนัด จำเลยยินยอมใช้เงินจำนวน 50,000 บาท แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งนัดให้จำเลยนำตัวผู้ต้องหาไปส่งให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 18 มกราคม 2544 เวลา 8.30 นาฬิกา ณ สถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว เมื่อถึงกำหนดนัดจำเลยมิได้นำตัวผู้ต้องหามาส่งให้แก่โจทก์จึงเป็นการผิดสัญญาประกัน ต้องชดใช้เงินค่าปรับตามสัญญาประกัน เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 โจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยนำเงินจำนวน 50,000 บาท มาชำระแก่โจทก์ภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2544 จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2544 แต่จำเลยผิดนัดจึงต้องรับผิดใช้ต้นเงินค่าปรับตามสัญญาประกันจำนวน 50,000 บาท และดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดวันที่ 18 มกราคม 2544 คำนวณดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ย 3,246.58 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยทั้งสิ้น 53,246.58 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 53,246.58 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยยื่นคำแถลงยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง
ตามชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 40,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 30 พฤศจิกายน 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการเดียวว่า โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดตั้งแต่เมื่อใด โจทก์อุทธรณ์ว่า เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ส่งตัวผู้ต้องหาให้แก่โจทก์ในวันที่ 18 มกราคม 2544 ต้องถือว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดต้องชำระดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดแก่โจทก์นับตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2544 เป็นต้นไป ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การที่จำเลยมิได้ส่งตัวผู้ต้องหาให้แก่โจทก์ตามกำหนดนัดย่อมทำให้จำเลยตกเป็นผู้ผิดสัญญาประกัน โจทก์ชอบที่จะบังคับตามสัญญาประกันได้โดยมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระเงินตามจำนวนที่ตีราคาประกันไว้ในสัญญาประกันซึ่งมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ แต่การชำระหนี้ดังกล่าวมิได้มีกำหนดเวลาอันพึงจะชำระแก่กันไว้ โจทก์ชอบที่จะบอกกล่าวกำหนดเวลาให้จำเลยชำระหนี้ก่อน เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้นั้นย่อมได้ชื่อว่าผิดนัดนับแต่เมื่อนั้น กรณีมิใช่เป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระในวันเดียวกับวันที่จำเลยไม่ส่งตัวผู้ต้องหาให้แก่โจทก์ตามกำหนดนัด อันจะทำให้จำเลยต้องตกเป็นผู้ผิดนัด เมื่อจำเลยมิได้ส่งตัวผู้ต้องหาให้แก่โจทก์ดังที่โจทก์อุทธรณ์ เมื่อปรากฏว่าโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวกำหนดเวลาให้จำเลยชำระหนี้ภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2544 จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วแต่ไม่ชำระหนี้ จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดนับแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2544 เป็นต้นไป ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

Share