แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีเกี่ยวกับลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า งานที่มีการฟ้องร้องในคดีนั้นเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดง
ผู้เสียหายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดง การที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยถือว่าเป็น การฟ้องคดีแทนผู้เสียหาย จึงต้องถือว่าผู้เสียหายได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 62 เช่นเดียวกับที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์
จำเลยปฏิเสธฟ้องโจทก์แต่เพียงว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดเท่านั้น เมื่อจำเลยไม่ให้การหรือนำสืบโต้แย้งว่า ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานดนตรีกรรมตามฟ้อง หรือโต้แย้งสิทธิของผู้เสียหายในงานดังกล่าวมาโดยชัดแจ้ง ผู้เสียหายย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ว่า งานดนตรีกรรมที่มีการฟ้องร้องเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายโดยโจทก์ไม่จำต้องสืบพยานในข้อนี้อีก ดังนั้น ไม่ว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาในข้อนี้จะมีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้หรือไม่ก็ตาม ก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อคดีของโจทก์
งานดนตรีกรรมตามรายชื่อเพลงท้ายฟ้องรวม 22 เพลง เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายและแผ่นซีดีของกลางซึ่งบันทึกงานดนตรีกรรมตามรายชื่อเพลงท้ายฟ้องดังกล่าวเป็นแผ่นซีดีเพลงที่มีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย จำเลยได้เสนอขายแผ่นซีดีเพลงวัตถุพยานของกลางซึ่งมีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายให้แก่พนักงานของผู้เสียหายผู้ล่อซื้อและพฤติการณ์ที่มีการวางปกแผ่นซีดีเพลงดังกล่าวในร้านค้าที่เกิดเหตุ ย่อมชี้ให้เห็นได้โดยชัดแจ้งว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเสนอขายแผ่นซีดีเพลงตามแผ่นปกดังกล่าวมาแต่ต้นแล้ว กรณีนี้ถือไม่ได้ว่า พนักงานของผู้เสียหายเป็นผู้ก่อให้จำเลยกระทำความผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 27, 28, 31, 70, 75 และ 76 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 และ 33 ให้แผ่นซีดีเพลงของกลางตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ จ่ายเงินค่าปรับกึ่งหนึ่งให้แก่ผู้เสียหาย ริบซองพัสดุ สำเนาใบเสร็จ และซองใส่แผ่นซีดีเพลงพร้อมปกของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31 (ที่ถูก 31 (1)) และ 70 วรรคสอง จำคุก 3 เดือน และปรับ 60,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ให้แผ่นซีดีเพลงของกลางตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ และจ่ายเงินค่าปรับกึ่งหนึ่งให้แก่ผู้เสียหาย ริบ (ซองพัสดุ สำเนาใบเสร็จ และซองใส่แผ่นซีดีเพลงพร้อมปก) ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดบ๊อกซิ่งซาวด์ ผู้เสียหายจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการจัดแสดงมหรสพทุกประเภท ผู้เสียหายได้มอบอำนาจให้นางสาวจุฑามาศ มีอำนาจแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีแก่บุคคลใดๆ ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ในงานสิ่งบันทึกเสียงของผู้เสียหาย รวมทั้งให้มีอำนาจมอบอำนาจช่วงได้ด้วย และสำหรับข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบเกี่ยวกับงานดนตรีกรรมตามฟ้องยังฟังไม่ได้ชัดเจนว่าผู้เสียหายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานดนตรีกรรมดังกล่าวนั้น ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 62 วรรคหนึ่งได้บัญญัติไว้ว่า “คดีเกี่ยวกับลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า งานที่มีการฟ้องร้องในคดีนั้นเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของนักแสดงตามพระราชบัญญัตินี้ และโจทก์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงในงานดังกล่าว เว้นแต่จำเลยจะโต้แย้งว่า ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงหรือโต้แย้งสิทธิของโจทก์” เห็นว่า การที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ถือว่าเป็นการฟ้องคดีแทนผู้เสียหาย จึงต้องถือว่าผู้เสียหายได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามบทกฎหมายดังกล่าวเช่นเดียวกับที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีเอง ตามคำให้การจำเลยฉบับลงวันที่ 7 มีนาคม 2543 ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางบันทึกคำให้การจำเลยไว้ว่า “ข้าพเจ้าขอให้การปฏิเสธตามฟ้อง” และต่อมาจำเลยก็ได้ยื่นคำให้การจำเลยฉบับลงวันที่ 10 เมษายน 2543 ขอให้การใหม่ว่า “ขอให้การปฏิเสธตลอดทุกข้อกล่าวหาของโจทก์ และขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ปล่อยจำเลยให้พ้นข้อกล่าวหาด้วย” เท่ากับว่าจำเลยปฏิเสธฟ้องโจทก์แต่เพียงว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดตามฟ้องเท่านั้น เมื่อจำเลยไม่ให้การหรือนำสืบโต้แย้งว่า ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานดนตรีกรรมตามฟ้อง หรือโต้แย้งสิทธิของผู้เสียหายในงานดังกล่าวมาโดยชัดแจ้ง ผู้เสียหายย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามบทกฎหมายดังกล่าวว่างานดนตรีกรรมที่มีการฟ้องร้องในคดีนี้เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายตามที่โจทก์ฟ้อง โดยโจทก์ไม่จำต้องสืบพยานในข้อนี้อีก ดังนั้น ไม่ว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาในข้อนี้จะมีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้หรือไม่ก็ตาม ก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อคดีของโจทก์ซึ่งได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามบทกฎหมายดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นที่ยุติได้ว่า งานดนตรีกรรมตามรายชื่อเพลงท้ายฟ้องรวม 22 เพลง เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายและแผ่นซีดีของกลางซึ่งบันทึกงานดนตรีกรรมตามรายชื่อเพลงท้ายฟ้องดังกล่าวเป็นแผ่นซีดีเพลงที่มีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย และคดีฟังยุติได้อีกว่านายโชคชัยผู้รับมอบอำนาจช่วงจากผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยได้ สำหรับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 846/2534 ที่จำเลยอ้างมาในอุทธรณ์นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยต่อไปว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า งานดนตรีกรรมตามรายชื่อเพลงท้ายฟ้องรวม 22 เพลง เป็นงานมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายและแผ่นซีดีของกลางซึ่งเป็นบันทึกงานดนตรีกรรมตามรายชื่อเพลงท้ายฟ้องดังกล่าว เป็นแผ่นซีดีเพลงที่มีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย จำเลยได้เสนอขายแผ่นซีดีเพลงของกลาง ซึ่งมีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายให้แก่นายดำรงพนักงานของผู้เสียหายผู้ล่อซื้อจริง และกรณีนี้ถือไม่ได้ว่า พนักงานของผู้เสียหายเป็นผู้ก่อให้จำเลยกระทำความผิดดังที่จำเลยอ้างมาในอุทธรณ์เพราะพฤติการณ์ที่มีการวางปกแผ่นซีดีเพลงดังกล่าวในร้านค้าที่เกิดเหตุ ย่อมชี้ให้เห็นได้โดยชัดแจ้งว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเสนอขายแผ่นซีดีปกดังกล่าวมาแต่ต้นแล้ว พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจฟ้องหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.