แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เมื่อได้ความว่าโจทก์จำเลยร่วมกันซื้อที่ดินเพื่อขายเอากำไรมาแบ่งกัน มิได้มีการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัด วิธีการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมจึงต้องเป็นไปตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 1364 กำหนดไว้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2367 ส่วนทางด้านทิศตะวันออกให้โจทก์เนื้อที่ 13 ไร่ 19 ตารางวา โดยให้มีด้านหน้ากว้างติดทางสาธารณะครึ่งหนึ่งและให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยให้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินเฉพาะส่วนของโจทก์ให้ใหม่
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 2367 ให้โจทก์หนึ่งในสามส่วน วิธีการแบ่งให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 คำขออื่นให้ยก
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์และจำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 2367 เนื้อที่ 26 ไร่ 38 ตารางวา ตามสำเนาโฉนดที่ดิน โดยซื้อมาจากนางศรีไทย จันทกนก ตามสัญญาขายที่ดิน วัตถุประสงค์ที่ซื้อที่ดินพิพาทเพื่อนำมาขายแบ่งปันผลกำไร มีปัญหาข้อแรกต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในส่วนของโจทก์กึ่งหนึ่งหรือเพียงหนึ่งในสามส่วนของที่ดินตามโฉนดที่ดิน ปรากฏข้อเท็จจริงตามสัญญาขายที่ดินลงวันที่ 30 กันยายน 2531 ระบุชื่อโจทก์และจำเลยเป็นผู้ซื้อ นางศรีไทย จันทกนก เป็นผู้ขาย สอดคล้องกับโฉนดที่ดินที่ระบุในสารบัญจดทะเบียนผู้รับโอนที่ดินพิพาทจากนางศรีไทย จันทกนก มาเป็นชื่อโจทก์และจำเลยเป็นผู้รับโอนในวันที่ 30 กันยายน 2531 แม้จำเลยจะนำสืบว่า โจทก์จำเลยและนางมณีรัตน์ รวมศิริวัฒนกุล พี่สาวของสามีจำเลยตกลงซื้อที่ดินพิพาทจากนางศรีไทยโดยออกเงินค่าที่ดินเท่ากันคนละ 66,667 บาท แต่ในวันจดทะเบียนซื้อขายที่ดินนางมณีรัตน์ป่วยจึงไม่ได้ไปรับโอนที่ดินพิพาท แต่มีการจัดทำบันทึกการเข้าร่วมถือหุ้นที่ดินเอกสารหมาย ล.2 ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2531 และมอบโฉนดที่ดินให้นางมณีรัตน์เก็บรักษา ก็เห็นว่าข้อนำสืบของจำเลยยังมีพิรุธ การอ้างว่านางมณีรัตน์ป่วยวันนัดโอนที่ดินจึงไม่มีชื่อในโฉนดที่ดินนั้น ผู้ซื้อบางคนป่วยหรือมีกิจธุระก็อาจมอบอำนาจให้ผู้อื่นไปแทนได้ ข้ออ้างของจำเลยที่ว่านางมณีรัตน์ร่วมซื้อที่ดินพิพาทกับโจทก์และจำเลย แต่ไม่มีชื่อเป็นผู้ซื้อในสัญญาขายที่ดินและไม่มีชื่อเป็นผู้รับโอนในโฉนดที่ดินจึงยากที่จะเชื่อว่าเป็นจริง นอกจากนี้นางมณีรัตน์กลับเบิกความว่า หลังจากจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แล้ว พยานไม่ได้รับเอกสารใด ๆ แต่นายประยุทธได้แจ้งให้ทราบว่าร่วมกันซื้อ 3 คน นายประยุทธได้นำโฉนดที่ดินมาให้พยาน แต่พยานไม่เคยเปิดดู พยานเบิกความตอบคำถามค้านว่า ไม่ทราบว่าโฉนดที่ดินที่เก็บไว้จะเป็นฉบับเดียวกับโฉนดที่ดินหมาย จ.1 หรือไม่ เอกสารหมาย ล.2 เพิ่งจะได้พบเห็นในวันนี้ (วันเบิกความ) คำเบิกความของนางมณีรัตน์จึงมีข้อพิรุธผิดวิสัยของผู้ที่จะลงทุนร่วมซื้อที่ดินกับผู้อื่นมาขายหากำไรที่จะไม่ใส่ใจดูแลรักษาสิทธิของตนเองเช่นนี้ ยิ่งเมื่อพิจารณาข้อความในบันทึกการเข้าร่วมถือหุ้นที่ดินเอกสารหมาย ล.2 ก็ปรากฏข้อความระบุชื่อโจทก์และจำเลยเป็นผู้ร่วมถือหุ้นในโฉนดที่ดินเลขที่ 2367 เพียง 2 คน กับมีลายมือชื่อที่อ้างว่าโจทก์ลงชื่อไว้กับลายมือชื่อจำเลย ข้อความในเอกสารที่อ้างว่าโจทก์ลงชื่อนี้ไม่ระบุว่านางมณีรัตน์ร่วมถือหุ้นด้วย แต่ที่ด้านหลังของเอกสารนี้กลับมีชื่อโจทก์ จำเลย และนางมณีรัตน์เป็นผู้ถือหุ้น โดยจำเลยนำสืบว่านายประยุทธสามีจำเลยเป็นผู้จัดทำ แต่ที่ด้านหลังของเอกสารนี้โจทก์ จำเลย และนางมณีรัตน์ไม่ได้ลงลายมือชื่อไว้ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญข้อความที่ด้านหลังเอกสารนี้จึงเป็นเอกสารที่นายประยุทธสามีจำเลยทำขึ้นฝ่ายเดียวไม่อาจใช้ยันโจทก์ได้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบซึ่งมีหนังสือสัญญาขายที่ดินและโฉนดที่ดินที่มีชื่อโจทก์และจำเลยร่วมกันซื้อที่ดินจากนางศรีไทยจึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบว่า โจทก์จำเลยร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทเพื่อนำมาขายต่อเอากำไรมาแบ่งกันตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2531 เกินกำหนดเวลาสิบปีแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้แบ่งที่ดินตามส่วนของโจทก์กึ่งหนึ่งได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1363 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้แบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์เพียงหนึ่งในสามส่วนไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น แต่ที่โจทก์ฎีกาโต้แย้งวิธีการแบ่งที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้แบ่งตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 โดยโจทก์จะขอแบ่งทางด้านทิศตะวันออกของที่ตั้งที่ดินให้มีหน้ากว้างติดทางสาธารณะครึ่งหนึ่ง และให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายนั้น เห็นว่า เมื่อได้ความว่าโจทก์จำเลยร่วมกันซื้อที่ดินเพื่อขายเอากำไรมาแบ่งกันมิได้มีการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัด วิธีการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมจึงต้องเป็นไปตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 กำหนดไว้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแล้วจำเลยไม่ฎีกา จำเลยจะขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 มาในคำแก้ฎีกาหาได้ไม่”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แบ่งที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 2367 ให้โจทก์กึ่งหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1