คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4776/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยเป็นคู่ความในคดีแพ่งของศาลจังหวัดนครราชสีมาซึ่งตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์โดยจำเลยมีสิทธิใช้ที่ดินพิพาทได้ไม่ต้องรื้อถอนบ้านที่ปลูกรุกล้ำที่ดินพิพาท คำพิพากษาคดีดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์และจำเลยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง แม้จำเลยจะได้กล้าวอ้างเป็นประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาท แต่เมื่อศาลจังหวัดนครราชสีมามิได้ยกขึ้นวินิจฉัย จำเลยมิได้อุทธรณ์ ประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์จึงยุติถึงที่สุดแล้ว ที่ดินพิพาทจึงยังเป็นของโจทก์อยู่ เพียงแต่จำเลยคงมีสิทธิใช้ได้ต่อไปโดยไม่ต้องรื้อถอนบ้านออกไปเท่านั้น การที่จำเลยครอบครองบ้านดังกล่าวย่อมเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ แม้จะครอบครองมาเกิน 10 ปีแล้ว ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท เมื่อบ้านของจำเลยปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยสุจริต โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้ค่าใช้ที่ดินจากจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 13878 ตำบลโพธิ์กลาง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 38 ตารางวา อาณาเขตติดต่อกับที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 13877 ตำบลโพธิ์กลาง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ในที่ดินของจำเลยมีบ้านเลขที่ 243 ซอยเดชอุดม 6 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ปลูกรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทางทิศเหนือเนื้อที่ 28 ตารางวา โจทก์เคยยื่นฟ้องจำเลยเกี่ยวกับบ้านที่รุกล้ำที่ดินดังกล่าว ซึ่งศาลจังหวัดนครราชสีมาวินิจฉัยถึงที่สุดแล้วว่า จำเลยเป็นเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว แต่ต้องใช้เงินค่าใช้ที่ดินแก่โจทก์ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3016/2542 ที่ดินโจทก์มีราคาประเมินตารางวาละ 7,000 บาท โจทก์สามารถนำที่ดินส่วนที่จำเลยรุกล้ำออกให้บุคคลอื่นเช่า จะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 2,500 บาท บ้านของจำเลยรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2537 ตลอดมา จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 7 ปี 10 เดือนเศษ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 235,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยชำระค่าใช้ที่ดินต่อไปเดือนละ 2,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าบ้านหลังดังกล่าวจะสลายไปทั้งหมด เมื่อจำเลยชำระเงินดังกล่าวครบถ้วน โจทก์ยอมจดทะเบียนเป็นภาระจำยอมไว้แก่ที่ดินของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเนื่องจากจำเลยได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาทโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนับแต่ที่โจทก์ได้สละการครอบครองมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์และสามีโจทก์เป็นคนปลูกบ้านเลขที่ 243 ตามฟ้องในที่ดินของโจทก์เอง จำเลยไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องด้วย โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์เรียกค่าใช้ที่ดินสูงเกินควร ค่าใช้ที่ดินไม่ควรเกินจำนวน 20,000 บาท โจทก์ใช่สิทธิเรียกร้องเกิน 10 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องได้ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน 140,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะใช้เงินแก่โจทก์เสร็จสิ้น เมื่อจำเลยใช้เงินแก่โจทก์ครบถ้วนแล้วให้โจทก์ไปจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอมในที่ดินส่วนที่รุกล้ำให้แก่จำเลย ถ้าโจทก์ไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความไม่ได้เถียงกันฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 28 ตารางวา เป็นที่ดินในโฉนดเลขที่ 13878 ตำบลโพธิ์กลาง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 13877 ตำบลโพธิ์กลาง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา อยู่ติดต่อกับที่ดินโฉนดเลขที่ 13787 บนที่ดินของจำเลยมีบ้านเลขที่ 243 ซอยเดชอุดม 6 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา ปลูกอยู่โดยส่วนหนึ่งของบ้านดังกล่าวอยู่บนที่ดินพิพาท เดิมที่ดินของจำเลยดังกล่าวเป็นของโจทก์มาก่อน โจทก์และสามีเป็นผู้ปลูกสร้างบ้านเลขที่ 243 ดังกล่าว แต่ต่อมาโจทก์ได้ขายฝากที่ดินและบ้านดังกล่าวแล้วไม่ไถ่คืน นางสาวจินตนา สิขรีไพศาล ผู้รับซื้อฝากจึงขายที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่นายมงคล พัฒนจิตวิไล หลังจากนั้นนายมงคลขายที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่นางอัมพร ประยงค์ แล้วนางอัมพรขายที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2537 ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์เคยฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดนครราชสีมาเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 592/2539 ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านดังกล่าวส่วนที่ปลูกอยู่บนที่ดินพิพาท ซึ่งศาลจังหวัดนครราชสีมามีคำพิพากษาเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3016/2542 โดยวินิจฉัยว่าบ้านของจำเลยดังกล่าวปลูกในที่ดินของโจทก์โดยสุจริต จำเลยมีสิทธิใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ของโจกท์เฉพาะส่วนที่บ้านดังกล่าวรุกล้ำได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนบ้าน (ส่วนที่รุกล้ำ) และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย แต่มีสิทธิจะเรียกเงินเป็นค่าที่จำเลยใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ของโจทก์ต่อไป ตลอดจนการที่จะดำเนินการจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม ส่วนเงินค่าใช้ที่ดินนั้นกฎหมายมิได้กำหนดไว้ว่าให้ใช้กันเป็นเงินก้อนหรือกำหนดใช้เป็นระยะเวลาอย่างไร เป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยจะต้องตกลงกันแล้วพิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะว่ากล่าวเกี่ยวกับค่าใช้ที่ดิน ตามสำเนาคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.6 โจทก์และจำเลยไม่อุทธรณ์ คดีดังกล่าวจึงถึงที่สุดแล้วตามหนังสือสำคัญเพื่อแสดงว่าคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วเอกสารหมาย จ.7 ที่จำเลยฎีกาทำนองว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าใช้ที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่า โจทก์และจำเลยต่างเป็นคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3016/2542 ของศาลจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวได้วินิจฉัยเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของโจกท์โดยจำเลยมีสิทธิใช้ที่ดินพิพาทของโจทก์ได้ ไม่ต้องรื้อถอนบ้านที่ปลูกรุกล้ำที่ดินพิพาท คำพิพากษาคดีดังกล่าวจึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง แม้ในคดีดังกล่าวจำเลยจะได้กล่าวอ้างเป็นประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาท แต่เมื่อศาลจังหวัดนครราชสีมามีคำพิพากษาโดยมิได้หยิบยกประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทขึ้นวินิจฉัยจำเลยก็มิได้อุทธรณ์แต่อย่างใด ประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจึงยุติถึงที่สุดแล้ว ที่ดินพิพาทจึงยังคงเป็นของโจทก์อยู่หาใช้ตกเป็นของจำเลยโดยการครอบครองแต่อย่างใดไม่ เพียงแต่จำเลยคงมีสิทธิใช้ที่ดินพิพาทได้ต่อไป โดยไม่ต้องรื้อถอนบ้านส่วนที่ปลูกอยู่บนที่ดินพิพาทออกไปเท่านั้น ดังนั้นการที่จำเลยครอบครองบ้านดังกล่าวโดยเฉพาะส่วนที่ปลูกอยู่บนที่ดินพิพาทของโจทก์ตลอดมาก็เป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์นั่นเอง แม้จะครอบครองมาเกิน 10 ปีแล้ว จำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท เมื่อบ้านของจำเลยปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยสุจริต โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้ค่าใช้ที่ดินพิพาทจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share