คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3212/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์มีสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่จำเลยทำไว้กับโจทก์เป็นหลักฐาน โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะนำคดีไปฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาจะซื้อจะขายได้ แต่เมื่อศาลพิพากษาว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นโมฆะโจทก์ไม่สามารถบังคับได้ หนี้เงินกู้ตามสัญญากู้จึงยังคงมีอยู่ไม่ระงับไป การที่โจทก์นำสัญญากู้มาฟ้องจึงเป็นการฟ้องเพื่อบังคับตามสิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ตามกฎหมายถือไม่ได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2537 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ 100,000 บาท ได้รับเงินไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยนำหลักฐานโฉนดที่ดินเลขที่ 20096 ตำบลเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา มาให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันการชำระหนี้ หลังทำสัญญาจำเลยตกลงขายที่ดินโฉนดแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์แทนการชำระเงินคืน แต่ที่ดินต้องห้ามโอนภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ 14 มีนาคม 2534 โจทก์และจำเลยจึงทำสัญญาจะซื้อจะขาย กำหนดโอนที่ดินในวันที่ 14 มีนาคม 2544 จำเลยส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์แล้วนับแต่วันทำสัญญา โจทก์ได้ลงทุนปลูกต้นไม้ยืนต้น แต่เมื่อถึงกำหนดโอนกรรมสิทธิ์ จำเลยไม่ยอมโอนที่ดินให้ เนื่องจากอ้างว่าเป็นสัญญาขัดต่อกฎหมายบังคับใช้ไม่ได้ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยต้องคืนเงินค่าที่ดิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ถึงวันฟ้องเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยรวม 137,500 บาท และต้องชดใช้เงินที่โจทก์ลงทุนปลูกต้นไม้ยืนต้นตั้งแต่ปี 2537 โดยแบ่งเป็นค่าไถปรับปรุงที่ดินเนื้อที่ 5 ไร่ 66 ตารางวา ไร่ละ 200 บาท ครั้งละ 1,000 บาท รวม 4 ครั้ง เป็นเงิน 4,000 บาท ค่าพันธุ์ไม้ที่ปลูกครั้งแรก 300 ต้น ต้นละ 80 บาท เป็นเงิน 24,000 บาท ค่าจ้างคนงานขุดหลุมและปลูกต้นไม้ 35 คน คนละ 120 บาท ต่อวัน เป็นเงิน 4,200 บาท รวมเป็นเงินค่าเสียหายทั้งสิ้น 32,200 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี รวมเป็นดอกเบี้ย 12,000 บาท ค่าเงินที่ลงทุนรักษาต้นไม้ตั้งแต่ปี 2537 จนถึงปัจจุบัน แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายใส่ปุ๋ยเคมีปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 5 กระสอบ กระสอบละ 300 บาท เป็นเงินปีละ 3,000 บาท รวม 7 ปี เป็นเงิน 21,000 บาท ค่าจ้างคนงานใส่ปุ๋ยพรวนดินปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 10 คน คนละ 120 บาทต่อวัน เป็นเงินปีละ 2,400 บาท รวม 7 ปี เป็นเงิน 16,800 บาท ค่าจ้างคนงานถากถางหญ้าต้นไม้ปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 20 คน คนละ 120 บาทต่อวัน เป็นเงินปีละ 4,800 บาท รวม 7 ปี เป็นเงิน 33,600 บาท ค่าพันธุ์ไม้ซ่อมแซมทดแทนต้นไม้ที่ตาย ตั้งแต่ปี 2537 ถึง 2544 จำนวน 50 ต้น ต้นละ 80 บาท รวมเป็นเงิน 4,000 บาท และต้องชดใช้ค่าขาดรายได้จากผลไม้ที่คาดว่าจะได้ในภายภาคหน้า 40,000 บาท รวมเป็นเงินที่โจทก์เสียหายทั้งสิ้น 297,100 บาท ขอให้บังคับให้จำเลยใช้เงินค่าเสียหาย 297,100 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 247,600 บาท นับแต่ถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินและรับเงินจากโจทก์ 100,000 บาท ความจริงจำเลยเคยกู้ยืมเงินจากโจทก์เพียง 20,000 บาท ได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้โดยยังไม่มีการกรอกข้อความ แต่สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องมิใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ลงไว้ เป็นลายมือชื่อและสัญญากู้ปลอม โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริตเนื่องจากเดิมโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 837/2544 ของศาลชั้นต้น บังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ แต่ศาลพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าสัญญาตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่เคยแสดงสัญญากู้ยืมเงินต่อศาล แต่ภายหลังกลับนำสัญญากู้มาฟ้องบังคับจำเลยโดยกรอกตัวเลขในสัญญาเอาเองโดยให้เหมาะสมกับราคาที่ดิน เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตจึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่เคยตกลงจะขายที่ดินแปลงพิพาทให้แก่โจทก์ ไม่เคยได้รับเงินค่าที่ดิน 100,000 บาท สัญญาจะซื้อจะขายที่นำไปฟ้องในคดีเดิมเป็นเอกสารปลอม ลายมือชื่อในสัญญาจะซื้อจะขายมิใช่ลายมือของจำเลยเป็นลายมือปลอม โจทก์จึงไม่อาจบังคับเอาเงินจากจำเลยตามสัญญาจะซื้อจะขายได้ และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยไม่ได้เพราะโจทก์ยอมเสี่ยงภัยเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเอง จำเลยไม่เคยแจ้งหรือยินยอมให้โจทก์เข้าไปทำประโยชน์ โจทก์ต้องรับเอาความเสียหายไปเอง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์อ้างสัญญาจะซื้อจะขายตั้งแต่ปี 2537 และฟ้องเรียกค่าเสียหายเนื่องจากสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งมีอายุความ 2 ปี โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับจำเลย จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินที่ไม่เคยขายที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดถือโฉนดของจำเลยไว้ ขอให้พิพากษายกฟ้อง และขอให้โจทก์ส่งมอบต้นฉบับโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย หากไม่ส่งคืนหรือส่งมอบไม่ได้ให้ถือว่าโฉนดที่ดินสูญหายและให้ศาลมีคำสั่งให้ออกใบแทนโฉนดที่ดินแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทให้แก่โจทก์จริงและก่อนที่จะทำสัญญาจะซื้อจะขายจำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ 100,000 บาท ได้มอบโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ยึดถือไว้ โจทก์เข้าไปทำกินตั้งแต่บัดนั้น โจทก์จึงไม่ต้องคืนต้นฉบับโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ บังคับตามฟ้องแย้ง ให้โจทก์ส่งมอบต้นฉบับโฉนดที่ดินเลขที่ 20096 ตำบลเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา คืนจำเลย กับให้โจทก์ให้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท คำขอฟ้องแย้งอื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน 100,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จ คำขออื่นของโจทก์ให้ยกเสีย และให้ยกฟ้องแย้งจำเลย สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งสองฝ่ายตกเป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย จึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยมาว่า ในวันที่ 13 เมษายน 2537 จำเลยกู้เงินโจทก์ไป 100,000 บาท ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.2 และจำเลยได้มอบโฉนดที่ดินเลขที่ 20096 ตำบลเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา เอกสารหมาย จ.1 ให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันและในวันเดียวกันนั้นจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามเอกสารดังกล่าวไว้กับโจทก์เป็นการชำระหนี้เงินกู้ โดยกำหนดโอนที่ดินในวันที่ 14 มีนาคม 2544 ต่อมาจำเลยไม่โอนที่ดินให้โจทก์ โจทก์จึงนำคดีไปฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าสัญญาจะซื้อจะขายเป็นโมฆะคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นคดีหมายเลขแดงที่ 837/2544 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า การที่โจทก์นำสัญญาจะซื้อจะขายไปฟ้องบังคับตามสัญญาจะซื้อจะขายและศาลพิพากษายกฟ้องแล้วโจทก์กลับนำสัญญากู้มาฟ้องคดีนี้ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์มีสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่จำเลยทำไว้กับโจทก์เป็นหลักฐาน โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะนำคดีไปฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาจะซื้อจะขายได้ แต่เมื่อศาลพิพากษาว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นโมฆะโจทก์ไม่สามารถบังคับได้ หนี้เงินกู้ตามสัญญากู้จึงยังคงมีอยู่ไม่ระงับไป การที่โจทก์นำสัญญากู้มาฟ้องบังคับคดีนี้จึงเป็นการฟ้องเพื่อบังคับตามสิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ตามกฎหมายถือไม่ได้ว่า โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาตามฟ้องและฟ้องแย้งให้เป็นพับ

Share