คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3998/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องระบุข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 6 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ทุกประเภทของจำเลยที่ 1 ที่มีต่อโจทก์และยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 เมื่อต่อมาปรากฏว่าจำเลยที่ 4 และที่ 6 แถลงรับข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ ไม่ติดใจต่อสู้ตามคำให้การและทางนำสืบของตน เท่ากับจำเลยที่ 4 และที่ 6 ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ในหนี้ทุกประเภทที่จำเลยที่ 1 มีต่อโจทก์แล้ว ฉะนั้น จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยที่ 4 และที่ 6 อีกต่อไป การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไปวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยที่ 4 และที่ 6 จึงไม่ถูกต้อง
ตามสัญญาทรัสต์รีซีทโจทก์ต้องปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศธนาคารโจทก์ในการคิดดอกเบี้ยจากต้นเงินจำนวนที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระ และตามสัญญาทรัสต์รีซีทข้อ 4 ระบุว่าจำเลยที่ 1 ต้องนำเงินมาชำระค่าสินค้าในจำนวนและกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในรายละเอียดแนบท้ายสัญญาทรัสต์รีซีทตลอดจนยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่เรียกเก็บได้ตามประกาศธนาคารโจทก์ นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระเงินค่าสินค้าแทนจำเลยที่ 1 รวมทั้งค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใด ๆ เกี่ยวกับหนี้ทรัสต์รีซีท และข้อ 7 ระบุว่าในกรณีที่จำเลยที่ 1 ตกเป็นผู้ผิดนัดผิดสัญญา จำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราตามที่กำหนดในข้อ 4 เมื่อตามสัญญาทรัสต์รีซีท ข้อ 7 ระบุให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในกรณีที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดได้ตามอัตราที่ระบุในสัญญาข้อ 4 และข้อความในสัญญาข้อ 4 ดังกล่าวข้างต้นเป็นกรณีระบุถึงอัตราดอกเบี้ยในกรณีที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระภายในกำหนดเวลาตามสัญญาอันเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ผิดนัด ซึ่งแม้สัญญาข้อ 4 นี้จะระบุให้ใช้อัตราดอกเบี้ยสูงสุดตามประกาศธนาคารโจทก์ก็ตาม ย่อมหมายถึงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่โจทก์เรียกเก็บจากลูกค้าที่ไม่ผิดนัดชำระหนี้เท่านั้น เพราะตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ข้อ 3 (4) กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เรียกดอกเบี้ยในอัตราสำหรับลูกค้าปฏิบัติผิดเงื่อนไขได้เฉพาะกรณีที่ลูกค้าปฏิบัติผิดเงื่อนไขแล้วเท่านั้น ดังนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 เพียงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสำหรับลูกค้าทั่วไปที่ไม่ผิดนัดตามประกาศธนาคารโจทก์เท่านั้น ไม่ใช่อัตราสูงสุดในกรณีลูกค้าผิดเงื่อนไขหรือผิดสัญญาแต่อย่างใด ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้อุทธรณ์ขึ้นมา ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงินจำนวน 18,746,129.99 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินตามสัญญาทรัสต์รีซีทกับค่าธรรมเนียมทั้งสิ้น 15,368,190.73 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งเจ็ดไม่ชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์จำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด หากไม่พอชำระหนี้ให้ยึดและอายัดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งเจ็ดออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 18,746,129.99 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของโจทก์ แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 15,368,190.73 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วนให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 ที่ 6 และที่ 7
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 จะต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด เห็นว่า ในส่วนของจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 6 นั้น โจทก์บรรยายฟ้องระบุข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 6 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ทุกประเภทของจำเลยที่ 1 ที่มีต่อโจทก์และยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 เมื่อต่อมาปรากฏว่าจำเลยที่ 4 และที่ 6 แถลงรับข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ ไม่ติดใจต่อสู้ตามคำให้การและทางนำสืบของตนตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2544 เท่ากับจำเลยที่ 4 และที่ 6 ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ในหนี้ทุกประเภทที่จำเลยที่ 1 มีต่อโจทก์แล้ว ฉะนั้น จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยที่ 4 และที่ 6 อีกต่อไป การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไปวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยที่ 4 และที่ 6 อีก จึงไม่ถูกต้อง อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ต่อมาว่า จำเลยที่ 7 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชำระหนี้ตามฟ้องให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 7 ยอมเข้าค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่มีต่อโจทก์ในหนี้ที่ระบุไว้ในสัญญาข้อ 1 ซึ่งรวมถึงหนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีทตามฟ้องด้วย และตามสัญญาฉบับนี้จำเลยที่ 7 มีวงเงินที่จะต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดถึง 135,000,000 บาท แต่หนี้ที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์ในคดีนี้มีไม่ถึง 135,000,000 บาท จำเลยที่ 7 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชำระหนี้ตามฟ้องให้โจทก์ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปรากฏตามคำฟ้องและข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบว่า ในการคิดดอกเบี้ยจากต้นเงินจำนวนที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระตามสัญญาทรัสต์รีซีทคดีนี้โจทก์ต้องปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศธนาคารโจทก์ และตามสัญญาทรัสต์รีซีท ข้อ 4 ระบุว่าจำเลยที่ 1 ต้องนำเงินมาชำระค่าสินค้าในจำนวนและกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในรายละเอียดแนบท้ายสัญญาทรัสต์รีซีทตลอดจนยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่เรียกเก็บได้ตามประกาศธนาคารโจทก์ นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระเงินค่าสินค้าแทนจำเลยที่ 1 รวมทั้งค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใด ๆ เกี่ยวกับหนี้ทรัสต์รีซีท และข้อ 7 ระบุว่า ในกรณีที่จำเลยที่ 1 ตกเป็นผู้ผิดนัดผิดสัญญา จำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราตามที่กำหนดในข้อ 4 เมื่อตามสัญญาทรัสต์รีซีทข้อ 7 ระบุให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในกรณีที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดได้ตามอัตราที่ระบุในสัญญาข้อ 4 และข้อความในสัญญาข้อ 4 ดังกล่าวข้างต้นเป็นกรณีระบุถึงอัตราดอกเบี้ยในกรณีที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระภายในกำหนดเวลาตามสัญญาอันเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ผิดนัดซึ่งแม้สัญญาข้อ 4 นี้จะระบุให้ใช้อัตราดอกเบี้ยสูงสุดตามประกาศธนาคารโจทก์ก็ตาม ย่อมหมายถึงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่โจทก์เรียกเก็บจากลูกค้าที่ไม่ผิดนัดชำระหนี้เท่านั้น ดังนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 เพียงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสำหรับลูกค้าทั่วไปที่ไม่ผิดนัดตามประกาศธนาคารโจทก์เท่านั้น ไม่ใช่อัตราสูงสุดในกรณีลูกค้าผิดเงื่อนไขหรือผิดสัญญาแต่อย่างใดเพราะตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ข้อ 3 (4) กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เรียกดอกเบี้ยในอัตราสำหรับลูกค้าปฏิบัติผิดเงื่อนไขได้เฉพาะกรณีที่ลูกค้าปฏิบัติผิดเงื่อนไขแล้วเท่านั้น สัญญาทรัสต์รีซีทครบกำหนดชำระหนี้วันที่ 10 มีนาคม 2541 วันที่ 10 กันยายน 2541 วันที่ 10 มีนาคม 2542 วันที่ 10 กันยายน 2542 วันที่ 10 มีนาคม 2543 และวันที่ 10 กันยายน 2543 ตามลำดับ และตามประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อของโจทก์ในช่วงเวลาครบกำหนดชำระหนี้ดังกล่าวมีอัตราสูงสุด คืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี ในระหว่างอัตราร้อยละ 9.75 ถึง 17.50 แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามกำหนดเวลาในสัญญาทรัสต์รีซีท โจทก์กลับคิดดอกเบี้ยจากหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทนับแต่วันที่ครบกำหนดชำระหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทในอัตราสูงสุดในกรณีลูกค้าผิดเงื่อนไขหรือผิดสัญญาโดยเริ่มต้นจากร้อยละ 24 ต่อปี จากนั้นปรับเปลี่ยนไปตามอัตราสูงสุด ในกรณีลูกค้าผิดเงื่อนไขหรือผิดสัญญาตามประกาศธนาคารโจทก์ ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ไม่ผิดนัดตามประกาศอัตราดอกเบี้ยของโจทก์โดยไม่ตรงตามข้อสัญญาทรัสต์รีซีทข้อ 7 ประกอบด้วยข้อ 4 ดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นการคิดดอกเบี้ยที่สูงเกินไปโดยไม่ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้อุทธรณ์ขึ้นมา ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทจำนวน 3,012,776.67 บาท จำนวน 2,710,400.01 บาท จำนวน 2,414,709.46 บาท จำนวน 2,475,876.54 บาท จำนวน 2,307,948.04 บาท และจำนวน 2,446,480.01 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 10 มีนาคม 2541 วันที่ 10 กันยายน 2541 วันที่ 10 มีนาคม 2542 วันที่ 10 กันยายน 2542 วันที่ 10 มีนาคม 2543 และวันที่ 10 กันยายน 2543 ตามลำดับ เป็นต้นไป โดยให้คิดดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยสูงสุดของลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ไม่ผิดนัดชำระหนี้ตามที่ระบุไว้ในประกาศอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อของธนาคารโจทก์ฉบับต่าง ๆ และที่ประกาศต่อไปหลังวันฟ้อง โดยปรับเปลี่ยนดอกเบี้ยดังกล่าวตามช่วงระยะเวลาที่ประกาศแต่ละฉบับมีผลใช้บังคับจนกว่าชำระเสร็จ แต่อัตราดอกเบี้ยนับจากวันฟ้องต้องไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง

Share