คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1866/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การพิจารณาว่าลูกหนี้ร่วมคนใดมีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่สามารถชำระหนี้ได้หรือไม่ หรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่ เป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้ร่วมแต่ละคน เมื่อจำเลยทั้งสามเป็นลูกหนี้ร่วมต่อโจทก์ตามคำพิพากษาจำนวน 5,495,094.53 บาท และไม่มีทรัพย์สินอื่นใดนอกจากที่ดิน 3 แปลงที่จำนองเป็นประกันไว้แก่เจ้าหนี้รายอื่น โดยไม่ปรากฏว่าทรัพย์สินที่จำนองเป็นประกันมีราคามากกว่าหนี้ที่จำนองเป็นประกันหรือไม่ จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอม แต่มิได้ขวนขวายที่จะนำเงินมาชำระหนี้ จนโจทก์นำยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ดังกล่าว จำเลยทั้งสามจึงมีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสามล้มละลาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีล้มละลายพิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้จำนวน 1,250,131.86 บาท 4,016,127.82 บาท และ 322,889.79 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ย โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดได้เงิน 6,000,000 บาท นำมาชำระหนี้ได้บางส่วน คิดถึงวันฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 5,495,094.53 บาท ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่าจำเลยทั้งสามมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ ปรากฏว่าไม่พบทรัพย์สินของจำเลยทั้งสาม กรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยทั้งสามเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 8 (5) แล้ว จำเลยทั้งสามมีหน้าที่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว แต่ที่ดินของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย ล. 1 ได้จำนองเป็นประกันหนี้ไว้แก่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ดินของจำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย ล. 3 ได้จำนองเป็นประกันหนี้ไว้แก่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่ดินของจำเลยที่ 3 ตามเอกสารหมาย ล. 2 ได้จำนองเป็นประกันหนี้ไว้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยจำเลยทั้งสามไม่ได้นำสืบให้ศาลเห็นว่าได้จำนองเป็นประกันหนี้ไว้เป็นจำนวนเงินเท่าใด หากมีการบังคับจำนองแล้วจะได้เงินพอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ผู้รับจำนองและโจทก์หรือไม่ เมื่อจำเลยทั้งสามเป็นลูกหนี้ร่วมต่อโจทก์ตามคำพิพากษาจำนวน 5,495,094.53 บาท การพิจารณาว่าลูกหนี้ร่วมคนใดมีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่สามารถชำระหนี้ได้หรือไม่ หรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่ เป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้ร่วมแต่ละคน เมื่อจำเลยทั้งสามไม่มีทรัพย์สินอื่นใดนอกจากที่ดิน 3 แปลงที่จำนองเป็นประกันไว้แก่เจ้าหนี้รายอื่น และไม่ปรากฏว่าทรัพย์สินที่จำนองเป็นประกันมีราคามากกว่าหนี้ที่จำนองเป็นประกันหรือไม่ ส่วนที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสืบว่ามีรายได้เดือนละ 20,000 ถึง 30,000 บาท และ 30,000 ถึง 40,000 บาท ตามลำดับนั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 เบิกความลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดที่จะสนับสนุนให้รับฟังได้ว่ามีรายได้ตามที่นำสืบจริง จึงไม่อาจรับฟังได้ จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมตั้งแต่ปี 2540 แต่มิได้ขวนขวายที่จะนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ จนกระทั่งโจทก์นำยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ดังกล่าว จำเลยทั้งสามจึงมีหนี้สินล้นพ้นตัวและกรณีไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสามล้มละลาย”
พิพากษายืน

Share