คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4307/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องโจทก์ตอนแรกบรรยายว่า โจทก์มีความประสงค์ให้ กำลังใจจำเลยเพื่อให้มุมานะ ในการศึกษา จึงได้ยอมจดทะเบียนลงชื่อ โจทก์กับจำเลยร่วมกันเป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้อง หมายความว่า โจทก์ ให้จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินตามฟ้องโดยเสน่หา แต่คำฟ้อง ของโจทก์ตอนต่อมาบรรยายว่า ที่ดินตามฟ้องโจทก์ลงชื่อจำเลย ร่วมไว้โดยเสน่หา ทั้งยังไม่ได้ให้ โดยเด็ดขาด เพียงลงชื่อไว้แทนชั่วคราว และโจทก์ยังคงยึดถือครอบครองที่ดินนี้อย่างเป็นเจ้าของตลอดมา หมายความว่า โจทก์ยัง ไม่ได้ยกที่ดินให้จำเลยเด็ดขาด เพราะโจทก์ยังคงครอบครองเป็น เจ้าของแต่ผู้เดียว ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของร่วมในที่ดิน ที่โจทก์ยกให้ จึงเป็นฟ้องที่ขัดกันและเป็นฟ้องที่ไม่แสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณา.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นบุตรของโจทก์ โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 15364 ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา โจทก์ประสงค์จะให้กำลังใจจำเลยในการศึกษาเล่าเรียนจึงจดทะเบียนลงชื่อจำเลยเป็นเจ้าของร่วมในที่ดินดังกล่าว และได้ให้คำมั่นว่าหากจำเลยตั้งใจเล่าเรียนสำเร็จแล้ว โจทก์จะยกที่ดินดังกล่าวพร้อมบ้านที่ปลูกเสร็จแล้วให้จำเลย ต่อมาจำเลยประพฤติชั่วหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงโดยไม่เคารพยำเกรง ด่าว่าโจทก์ใช้คำพูดมึงกูว่า “กูไม่ใช่ลูกของมึง ปล่อยให้มึงตายคนเดียว กูจะไม่ไปเผาด้วย มึงโกหกหลอกลวงกู ว่าจะยกที่ดิน บ้าน และรถยนต์ให้แล้วกลับสับปลับเอาไปให้ผู้อื่นหมด กูตัดลูกตัดแม่กับมึงแล้ว”โดยพูดกับคนทั่วไป ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอับอายขายหน้าเป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ ที่ดินดังกล่าวโจทก์ลงชื่อจำเลยร่วมไว้โดยเสน่หา ทั้งยังไม่ได้ให้โดยเด็ดขาดเพียงลงชื่อไว้แทนชั่วคราวโจทก์ยังยึดถือครอบครองอย่างเป็นเจ้าของตลอดมา การที่จำเลยเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์จึงต้องถอนคืนการให้ ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินเฉพาะส่วนที่มีชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์อยู่ในที่ดินดังกล่าวคืนให้โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องของโจทก์แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าให้จำเลยลงชื่อร่วมถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องโดยเสน่หา แต่บรรยายฟ้องอีกว่า โจทก์ยังไม่ได้ให้โดยเด็ดขาดเพียงให้ลงชื่อไว้แทนชั่วคราว และขอถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณเป็นการขัดแย้งกันเองและสภาพแห่งข้อหาไม่ชัดแจ้ง ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินเฉพาะส่วนที่มีชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์อยู่ในที่ดินโฉนดที่ 15364 ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทราคืนให้แก่โจทก์ โดยบรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นมารดาจำเลย โจทก์ได้ที่ดินตามฟ้องเพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัย แต่โจทก์มีความประสงค์ให้กำลังใจจำเลยเพื่อให้มุมานะในการศึกษา จึงได้ยอมจดทะเบียนลงชื่อโจทก์กับจำเลยร่วมกันเป็นเจ้าของ พร้อมให้คำมั่นว่าหากจำเลยตั้งใจเรียนสำเร็จ โจทก์จะยกที่ดินดังกล่าวพร้อมบ้านที่ปลูกเสร็จแล้วกับซื้อรถยนต์ให้จำเลย 1 คัน ต่อมาจำเลยยักยอกเงินของโจทก์ไปจำนวน 150,000 บาท แล้วหนีออกจากบ้านไป จำเลยได้ประพฤติชั่วด่าว่าโจทก์อันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงเป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ ตามคำฟ้องของโจทก์นี้หมายความว่าโจทก์ให้จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินตามฟ้องโดยเสน่หาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 521 ต่อมาโจทก์บรรยายฟ้องอีกว่า “ด้วยที่ดินโฉนดที่ 15364 ตามข้อ 1 โจทก์ลงชื่อจำเลยร่วมไว้โดยเสน่หา ทั้งยังไม่ได้ให้โดยเด็ดขาดเพียงลงชื่อไว้แทนชั่วคราวและโจทก์ยังคงยึดถือครอบครองที่ดินนี้อย่างเป็นเจ้าของตลอดมา” ซึ่งข้อความดังกล่าวมีความหมายว่าโจทก์ยังไม่ได้ยกที่ดินให้จำเลยเด็ดขาด เพราะโจทก์ยังคงครอบครองเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของร่วมในที่ดินที่โจทก์ยกให้ จึงขัดกับคำฟ้องของโจทก์ ข้อ 2 ที่ว่า “จึงได้ยอมจดทะเบียนลงชื่อโจทก์กับจำเลยร่วมกันเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวไว้หากจำเลยตั้งใจเล่าเรียนสำเร็จแล้ว โจทก์จะยกที่ดินดังกล่าวพร้อมบ้านที่ปลูกเสร็จแล้วกับซื้อรถยนต์ 1 คัน ให้จำเลย” จึงเป็นฟ้องที่ขัดกันและเป็นฟ้องที่ไม่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณา ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share