คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1162/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องของโจทก์ตอนแรกบรรยายว่าได้มีผู้บังอาจปลอมใบเสร็จรับเงินและฟ้องตอนหลังกล่าวว่า จำเลยบังอาจสมคบกันปลอมใบเสร็จรับเงินนั้นเป็นการกล่าวว่ามีผู้ปลอมใบเสร็จรับเงินซึ่งหมายรวมถึงตัวจำเลยเป็นผู้ปลอมด้วย ข้อเท็จจริงในฟ้องจึงหาขัดกันไม่

ย่อยาว

จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๒ มีผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๒๒๓, ๓๐๔, ๖๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๒๖๔, ๒๖๘, ๙๑ แต่ให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๓๐๔ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๖๔, ๒๖๘ อันเป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓ ให้จำคุกจำเลยที่ ๒ ไว้กระทงละ ๘ เดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ รวมเป็นโทษจำคุก ๑ ปี ๔ เดือน ของกลางริบ และให้จำเลยที่ ๒ ใช้เงินแก่ผู้เสียหาย และยกฟ้องจำเลยที่ ๑
โจทก์และจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ ๒ มีผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๒๒๓, ๓๐๔ ให้จำคุกจำเลยที่ ๒ กระทงละ ๘ เดือน รวม ๒ กระทง ๑ ปี ๔ เดือน นอกนั้นยืนตามศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยฎีกาว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะบรรยายว่าได้มีผู้บังอาจปลอมใบเสร็จรับเงินในฟ้องข้อ ๑ ข. ส่วนในฟ้องข้อ ๑ ค. กลับว่าจำเลยบังอาจสมคบกันปลอมเป็นฟ้องที่ขัดกันเองนั้น เป็นการกล่าวข้อเท็จจริงว่ามีผู้ปลอมหมายความรวมทั้งตัวจำเลยเป็นผู้ปลอมด้วย โจทก์กล่าวตามข้อเท็จจริง ไม่ได้ขัดแย้งกันแต่อย่างไร
พิพากษายืน

Share