แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยแต่งตั้งให้ทนายจำเลยมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ทนายจำเลยย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจเต็มที่ขณะทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลว่าข้อความที่ตกลงกับโจทก์นั้นเหมาะสม ไม่ได้เสียเปรียบ ทนายจำเลยไม่มีความจำเป็นต้องแจ้งให้จำเลยทราบ ดังนั้นแม้จำเลยไม่ต้องการตกลงกับโจทก์ ก็เป็นเรื่องทนายความของจำเลยกระทำการฝ่าฝืนความประสงค์ของจำเลย หากจำเลยเสียหายอย่างไรก็ต้องไปว่ากล่าวเป็นอีกเรื่องหนึ่งมิใช่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายวีธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคสอง (1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2543 จำเลยที่ 1 ทำสัญญกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 240,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 15 มกราคม 2544 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 คงชำระหนี้แก่โจทก์เพียง 60,000 บาท โจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน 288,000 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินต้น 240,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า เมื่อเดือนเมษายน 2544 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ จำนวน 20,000 บาท โจทก์ให้จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในสัญญากู้และให้จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันซึ่งไม่ได้กรอกข้อความ ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามกำหนด โจทก์จึงให้ทนายความมีหนังสือทวงถาม จำเลยทั้งสองจึงทราบว่าโจทก์กรอกข้อความลงในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันเองโดยพลการ สัญญาดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายโจทก์และทนายจำเลยทั้งสองแถลงร่วมกันว่าสามารถตกลงกันได้ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ยื่นต่อศาล
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์เป็นกรณีพิเศษจำนวน 6,300 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า สัญญาประนีประนอมยอมความทำขึ้นโดยทนายโจทก์และทนายจำเลยทั้งสองสมคบกันฉ้อฉล ขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 2,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคสอง บัญญัติ ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาเช่นว่านี้ เว้นแต่ในเหตุต่อไปนี้ (1) เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล (2) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน (3) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่ามิได้เป็นไปตามข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ในวันที่จำเลยทั้งสองมอบให้ทนายความแก้ต่าง จำเลยทั้งสองแจ้งว่าต้องการจะต่อสู้คดีจนถึงที่สุด ไม่ต้องการตกลงกับโจทก์การที่ทนายความของจำเลยทั้งสองใช้ดุลพินิจรับข้อตกลงที่โจทก์เสนอลดหนี้ให้ประมาณ 100,000 บาท โดยไม่แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบ ทำให้จำเลยทั้งสองได้รับความเสียหาย ต้องชำระเงินให้โจทก์อีก 180,000 บาท หากต่อสู้คดีต่อไป ศาลอาจพิพากษายกฟ้องตามที่จำเลยทั้งสองต่อสู้ ข้อตกลงดังกล่าวถือว่าโจทก์ฉ้อฉลจำเลยทั้งสองนั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองแต่งตั้งให้ทนายจำเลยทั้งสองมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ทนายจำเลยทั้งสองย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจเต็มที่ขณะทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลว่าข้อความที่ตกลงกับโจทก์นั้นเหมาะสมไม่ได้เสียเปรียบ โดยทนายจำเลยทั้งสองมีอำนาจต่อรอง และจะไม่ยอมตกลงก็ได้ถ้าเห็นว่าจำเลยทั้งสองเสียเปรียบ ทนายจำเลยทั้งสองไม่มีความจำเป็นต้องแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบ ดังนั้นแม้ข้อเท็จจริงจะเป็นดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา ก็เป็นเรื่องทนายความของจำเลยทั้งสองซึ่งมีอำนาจประนีประนอมยอมความตามใบแต่งทนายความ กระทำการฝ่าฝืนความประสงค์ของจำเลยทั้งสอง หากจำเลยทั้งสองเสียหายอย่างไรก็ต้องไปว่ากล่าวเป็นอีกเรื่องหนึ่งหาใช่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉลดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคสอง (1) บัญญัติไว้ไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 2,000 บาท แทนโจทก์.