คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1360/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดเงินของจำเลยที่มีอยู่และที่จะได้รับจากการประกอบกิจการ โดยให้จำเลยส่งเงินทั้งหมดมาเก็บรักษาไว้ที่ศาลจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด มีผลเท่ากับบังคับให้จำเลยนำเงินมาวางศาลเพื่อเอาชำระหนี้ให้โจทก์เป็นการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 แต่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินซึ่งเป็นค่าขาดประโยชน์ มิใช่พิพาทกันด้วยทรัพย์สินหรือสิทธิหรือประโยชน์โจทก์จะขอให้จำเลยนำทรัพย์สินหรือเงินมาวางตามมาตรานี้ไม่ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสองฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 1 ให้ส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ทั้งสองในสภาพเรียบร้อย ห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์ทั้งสองอีกต่อไปกับให้จำเลยชดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดินแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 17,391,500 บาท และค่าขาดประโยชน์วันละ 3,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกไปพร้อมทั้งขนย้ายบริวารและทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสองและส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ทั้งสองในสภาพเรียบร้อย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ทั้งสองถือสิทธิครอบครองในที่ดินแทนจำเลย จำเลยประกอบกิจการสถานพักตากอากาศโดยใช้ชื่อว่า แพนแซนด์ รีสอร์ท โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยและเคยได้รับเงินปันผลจากการประกอบกิจการของจำเลยด้วยโดยมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านโจทก์ทั้งสองจึงไม่ได้รับความเสียหาย ไม่อาจเรียกค่าเสียหายหรือค่าขาดประโยชน์จากจำเลยได้ ขอให้ยกฟ้องและเพิกถอนชื่อโจทก์ทั้งสองออกจากสารบัญจดทะเบียนในหนังสือรับรองการทำประโยชน์และให้โอนสิทธิครอบครองคืนให้แก่จำเลย หากโจทก์ทั้งสองไม่จดทะเบียนโอนให้ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ให้โจทก์ทั้งสองใช้ราคาที่ดินแก่จำเลย และห้ามโจทก์ทั้งสองกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องหรือรบกวนการครอบครองในที่ดินพิพาทของจำเลยต่อไป
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกนายเลอศักดิ์ พันธุ์พัฒนาศิลป์ และนายสิน พันธุ์พัฒนาศิลป์ เข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ส่วนโจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องว่า จำเลยมีรายได้จากการประกอบกิจการแต่เพียงทางเดียวไม่มีรายได้ทางอื่นอีก จำเลยทำบัญชีไม่ถูกต้องทำให้รายได้ของจำเลยขาดหายไป จำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นที่โจทก์ทั้งสองจะบังคับชำระหนี้ได้ แม้โจทก์ทั้งสองจะเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการของบริษัทจำเลยด้วย แต่ก็เป็นเพียงในนามเท่านั้น โจทก์ทั้งสองไม่ทราบกิจการและรายได้ของจำเลยจึงขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดเงินของจำเลยที่มีอยู่และที่จะได้รับจากการประกอบกิจการ โดยให้จำเลยส่งเงินทั้งหมดดังกล่าวมาเก็บรักษาไว้ที่ศาลจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด
จำเลยยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยไม่เคยนำทรัพย์สินหลบซ่อนปิดบังยักย้าย ถ่ายเท หรือทำบัญชีไม่ถูกต้อง การที่จำเลยต้องนำเงินที่มีอยู่มาวางศาลเท่ากับจำเลยต้องหยุดกิจการไปโดยปริยายเพราะเงินที่มีอยู่ต้องใช้จ่ายเป็นค่าสินค้า ค่าแรงงาน ค่าบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการประกอบกิจการ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้จำเลยนำเงินหรือหลักประกันอื่นมาวางศาลในอัตราเดือนละ 15,000 บาท โดยให้เริ่มวางเงินในวันที่ 1 มีนาคม 2548 และต่อไปทุกเดือนจนกว่าคดีถึงที่สุดหรือมีคำสั่งศาลเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของโจทก์ทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า การที่โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดเงินของจำเลยที่มีอยู่และที่จะได้รับจากการประกอบกิจการ โดยให้จำเลยส่งเงินทั้งหมดดังกล่าวมาเก็บรักษาไว้ที่ศาลจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดนั้น มีผลเท่ากับบังคับให้จำเลยนำเงินมาวางศาลเพื่อเอาชำระหนี้ให้โจทก์เป็นการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองในระหว่างการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 แต่การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาตามมาตราดังกล่าวจะต้องเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องขอเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทกันในคดีได้รับการคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษา กรณีที่โจทก์ทั้งสองฟ้องให้จำเลยชำระเงินซึ่งเป็นค่าขาดประโยชน์มาด้วยเช่นในคดีนี้ มิใช่พิพาทกันด้วยทรัพย์สินหรือสิทธิหรือประโยชน์ที่จะร้องขอเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว โจทก์ทั้งสองจะขอให้จำเลยนำทรัพย์สินหรือเงินมาวางตามมาตรานี้ไม่ได้ และจะขอให้จำเลยหาประกันหรือหลักประกันมาวางศาลก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้ทำเช่นนั้นได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share