คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 495/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมคู่ฉบับกรมธรรม์ประกันภัยที่โจทก์อ้างส่งศาลไว้ได้ระบุวันทำสัญญาประกันภัยเป็นวันที่ 30 เมษายน 2522 และระบุวันทำกรมธรรม์ประกันภัยเป็นวันที่ 16 เมษายน 2522 แต่ระบุระยะเวลามีผลบังคับเริ่มต้นวันที่ 30 ธันวาคม 2520 สิ้นสุดวันที่ 30 ธันวาคม 2521 เห็นได้ว่ามีการพิมพ์ข้อความเกี่ยวกับวันทำสัญญาประกันภัยและวันทำกรมธรรม์ประกันภัยในคู่ฉบับผิดพลาดไปโดยมีผลย้อนหลัง การที่โจทก์ขออ้างต้นฉบับ ซึ่งระบุวันทำสัญญาประกันภัยและวันทำกรมธรรม์ประกันภัยเป็นวันที่ 30 ธันวาคม 2520เป็นพยานเพิ่มเติมหลังจากโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนได้สืบพยานเสร็จแล้วนั้นก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงวันทำสัญญาประกันภัย และวันทำกรมธรรม์ประกันภัยที่ถูกต้องเท่านั้น ส่วนระยะเวลามีผลบังคับและวันสิ้นสุดรวมทั้งชื่อผู้เอาประกันภัยคงระบุไว้ตรงกัน ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์จงใจฝ่าฝืนกฎหมาย เมื่อศาลเห็นว่ามีเหตุอันสมควร เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ก็ย่อมมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน1 ง-1765 ประเภทชดใช้ความเสียหายโดยสิ้นเชิงไว้จากนายธีระยุทธ์ ปิติฤกษ์ ตามเอกสารหมาย 2 ท้ายฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน น.ฐ. 16969 และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 3ได้รับประกันภัยค้ำจุนรถของจำเลยที่ 2 ไว้เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2521 จำเลยที่ 1ขับรถของจำเลยที่ 1 ในทางการที่จ้างโดยประมาทชนท้ายรถที่นายธีระยุทธ์ขับได้รับความเสียหาย โจทก์ได้จ่ายเงินค่าซ่อมรถคันหมายเลขทะเบียน 1 ง – 1765 เป็นจำนวน 26,980 บาท จึงรับช่วงสิทธิเรียกค่าเสียหายดังกล่าว ซึ่งจำเลยทั้งสามต้องร่วมกันรับผิด ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายและดอกเบี้ยจำนวน 28,835 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน1 ง – 1765 และนายธีระยุทธ์ไม่ใช่เจ้าของรถคันดังกล่าว จำเลยที่ 2 ไม่ใช่เจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์หมายเลขทะเบียน น.ฐ.16969 จำเลยที่ไม่ใช่ลูกจ้างและมิได้กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 เหตุเกิดเพราะความประมาทของนายธีระยุทธ์ค่าเสียหายไม่เกิน 4,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 3 ให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ 2

ส่วนจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงิน 26,980 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยที่ 2 ที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงจากหลักฐานในสำนวนว่า หลังจากโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนได้สืบเสร็จสิ้น และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้สืบพยานไปบ้างแล้ว โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอระบุต้นฉบับกรมธรรม์ประกันภัยเกี่ยวกับคดีนี้ซึ่งอยู่ที่นายธีระยุทธ์เป็นพยานเพิ่มเติม โดยอ้างว่าโจทก์เพิ่งทราบว่า คู่ฉบับที่โจทก์อ้างและส่งศาลไว้พิมพ์ข้อความเกี่ยวกับวันทำสัญญาประกันภัยและวันทำกรมธรรม์ประกันภัยผิดพลาดไป จำเลยที่ 2 ที่ 3 ยื่นคำแถลงคัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมได้ตามคำร้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคู่ฉบับกรมธรรม์ ประกันภัยเอกสารหมาย จ.1 ระบุวันทำสัญญาประกันภัยเป็นวันที่ 30 เมษายน2522 และระบุวันทำกรมธรรม์ประกันภัยเป็นวันที่ 16 เมษายน 2522 แต่ระบุระยะเวลามีผลบังคับเริ่มต้นวันที่ 30 ธันวาคม 2520 สิ้นสุดวันที่ 30 ธันวาคม2521 เห็นได้ชัดเจนว่า มีการพิมพ์ข้อความเกี่ยวกับวันทำสัญญาประกันภัยและวันทำกรมธรรม์ประกันภัยในคู่ฉบับผิดพลาดมีผลย้อนหลัง การที่โจทก์อ้างต้นฉบับ ซึ่งระบุวันทำสัญญาประกันภัยและวันทำกรมธรรม์ประกันภัยเป็นวันที่ 30 ธันวาคม 2520 เป็นพยานเพิ่มเติม ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงวันทำสัญญาประกันภัยและวันทำกรมธรรม์ประกันภัยที่ถูกต้องเท่านั้น ส่วนระยะเวลามีผลบังคับและวันสิ้นสุดรวมทั้งชื่อนายธีระยุทธ์ผู้เอาประกันภัยคงระบุไว้ตรงกัน ไม่ทำให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 เสียเปรียบ ทั้งพฤติการณ์ไม่ปรากฏว่าโจทก์จงใจฝ่าฝืนกฎหมายเมื่อศาลเห็นว่ามีเหตุอันสมควร เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ก็ย่อมมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสาม ถือไม่ได้ว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย

พิพากษายืน

Share