คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 155/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การสอบสวนทางวินัยเพราะเหตุบกพร่องต่อหน้าที่ราชการเป็นคนละกรณีกับการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่ง เพราะการบกพร่องต่อหน้าที่ราชการอาจไม่ถึงขนาดที่จะต้องรับผิดในทางแพ่งรองผู้บัญชาการทหารอากาศทำการแทนผู้บัญชาการทหารอากาศได้ทราบเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 มีคำสั่งลงทัณฑ์จำเลยที่ 2 เหตุบกพร่องต่อหน้าที่ราชการทำให้เกิดทุจริตในเรื่องการเงินดังนี้ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์รู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันที่โจทก์ทราบถึงกรณีที่จำเลยที่ 2 ถูกลงทัณฑ์ทางวินัย เมื่อโจทก์ได้ทราบตัวผู้รับผิดทางแพ่งนับถึงวันฟ้องยังไม่เกินหนึ่งปีคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448.
จำเลยที่ 2 ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายการเงินมีหน้าที่ควบคุมดูแลการรับจ่ายเงินให้ถูกต้องตรงตามหลักฐาน รับผิดชอบในการทำบัญชีเงิน ควบคุมดูแลในการทำบัญชีลูกหนี้เจ้าหนี้ให้ตรงกับความเป็นจริง ควบคุมดูแลกิจการร้านค้าที่เกี่ยวกับการเงินและการบัญชีทั้งปวงให้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย การที่จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องประมาทเลินเล่อไม่ตรวจสอบ ทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้าหมวดการเงินยักยอกเงินไปได้ จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้จัดตั้งร้านค้าทหารอากาศดอนเมืองขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมายการเงินประจำวันต่างๆ ของร้านค้าทหารอากาศดอนเมือง โจทก์ได้วางระเบียบมอบหมายให้อยู่ในความรับผิดชอบของผู้จัดการร้านค้า หัวหน้าฝ่ายการเงินหัวหน้าหมวดการเงินและพนักงานการเงินเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบ จำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหมวดการเงิน จำเลยที่ 2 ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายการเงินจำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดการร้านค้า จำเลยที่ 6ในฐานะเลขานุการร้านค้าเป็นนายทหารพยานของร้านค้า จำเลยที่ 4และที่ 5 เป็นพนักงานการเงิน เมื่อระหว่างวันที่ 10 พฤศจิกายน2518 ถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2519 จำเลยที่ 1 ได้ยักยอกเงินของโจทก์จากร้านค้าทหารอากาศดอนเมืองไปรวม 726,153.25 บาท โจทก์ได้ทราบว่าจำเลยจะต้องรับผิดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2520จำเลยที่ 1 ได้ชดใช้เงินคืนให้โจทก์แล้ว 220,500 บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันชดใช้เงินที่ขาดอยู่505,653.25 บาท กับให้จำเลยที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3ใช้เงิน 271,300 บาท จำเลยที่ 5 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3ใช้เงิน 431,600 บาท จำเลยที่ 6 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3ใช้เงิน 49,948.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยในต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ให้การว่า ไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างใดจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินของโจทก์ที่จำเลยที่ 1 ยักยอกเอาไปตามฟ้อง กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน 505,653.25 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่1 ใช้เงินสำหรับจำนวน 494,725.25 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยของเงินจำนวนนี้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา
ในปัญหาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยที่ 2 ฎีกาอ้างว่าเกี่ยวกับมูลเหตุแห่งคดีนี้เกิดขึ้นต้นเดือนพฤศจิกายน 2518โจทก์ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อลงโทษทางวินัยซึ่งผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 ได้มีคำสั่งลงทัณฑ์จำเลยที่ 2อ้างเหตุว่าบกพร่องต่อหน้าที่ราชการ ทำให้เกิดทุจริตในเรื่องการเงินตามหนังสือสก.ทอ.ลับที่ 166/15 (ที่ถูกต้อง 166/19) ลงวันที่ 30 มีนาคม 2519 ตามเอกสารหมาย ล.8 และรองผู้บัญชาการทหารอากาศทำการแทนผู้บัญชาการทหารอากาศได้ทราบเรื่องที่จำเลยถูกลงทัณฑ์ดังกล่าว และทำหนังสือถึงผู้บัญชาการทหารสูงสุดเพื่อแจ้งเรื่องที่จำเลยที่ 2 ถูกลงทัณฑ์ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมทราบเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2519 ย่อมถือได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและผู้ทำละเมิดแล้ว ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การสอบสวนทางวินัยเพราะเหตุบกพร่องหน้าที่ราชการเป็นคนละกรณีกับการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งเพราะการบกพร่องต่อหน้าที่ราชการอาจไม่ถึงขนาดที่จะต้องรับผิดในทางแพ่งดังที่จำเลยที่ 2 ยกเป็นข้อต่อสู้ในคดีนี้ก็ได้ ดังนั้นจึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์รู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันที่โจทก์ทราบถึงกรณีที่จำเลยที่ 2 ถูกลงทัณฑ์ทางวินัย ดังจำเลยที่ 2ฎีกา ข้อเท็จจริงปรากฏตามสำนวนการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบทางแพ่งว่าโจทก์ได้ทราบตัวผู้รับผิดทางแพ่งเมื่อวันที่ 28มิถุนายน 2520 โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 23 มิถุนายน 2521 ยังไม่เกินหนึ่งปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448
ในปัญหาว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่เพียงใด ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องถึงเหตุที่จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินของร้านค้าทหารอากาศดอนเมืองไปได้โดยวิธีนำเงินของร้านค้าทหารอากาศดอนเมืองฝากธนาคารน้อยกว่าจำนวนที่จะต้องนำฝากจริงเกือบทุกรายการ ไม่ได้นำฝากเลยหนึ่งรายการและรายการวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2519 ที่เป็นเช็คของลูกหนี้สั่งจ่ายเงิน 800 บาท ชำระหนี้ร้านค้าทหารอากาศดอนเมือง ธนาคารเจ้าของเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 1 รับเช็คคืนจากธนาคารแล้วนำเช็คนั้นไปติดต่อกับผู้สั่งจ่ายโดยตรงผู้สั่งจ่ายชำระเงินสดให้ จำเลยที่ 1 ยักยอกเอาไปเสียซึ่งปรากฏว่าเงินรายการนี้ลงบัญชีถูกต้อง การคืนเช็คที่รับเงินไม่ได้ ธนาคารไม่ได้คืนให้ร้านค้าทหารอากาศดอนเมืองจำเลยที่ 2 และจำเลยคนอื่นๆ ไม่มีโอกาสจะทราบได้ว่าเช็คที่นำเข้าบัญชีของร้านค้าทหารอากาศดอนเมืองเรียกเก็บเงินไม่ได้จึงไม่มีโอกาสที่จะตรวจสอบติดตามได้ เห็นว่าเงินจำนวน 800บาท ดังวินิจฉัยนี้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ส่วนเงินรายการอื่นๆ จำเลยที่ 2 ในฐานะทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายการเงินมีหน้าที่ควบคุมดูแลการรับ – จ่ายเงินให้ถูกต้องตรงตามหลักฐาน รับผิดชอบในการทำบัญชีเงิน ควบคุมดูแลในการทำบัญชีลูกหนี้เจ้าหนี้ให้ตรงกับความเป็นจริง ควบคุมดูแลกิจการร้านค้าที่เกี่ยวกับการเงินและการบัญชีทั้งปวงให้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยตามเอกสารหมาย จ.5 หรือ ล.1 ถ้าหากจำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ของตนดังกล่าวโดยไม่บกพร่อง คือตรวจการเงิน การบัญชี สมุดเงินฝากธนาคาร ใบฝากเงินธนาคาร และสมุดเงินสดใหญ่ก่อนและหลังจำเลยที่ 1 นำเงินฝากธนาคารแล้ว จำเลยที่ 2 จะทราบได้ทันทีว่าจำเลยที่ 1 นำเงินฝากธนาคารน้อยกว่าจำนวนที่ต้องนำฝากจริงหรือไม่ได้ฝากเลย หรือยังไม่ได้จ่ายเงินให้คณะกรรมการร้านค้าทหารอากาศดอนเมืองอีก 4 คน เพราะเหตุจำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ประมาทเลินเล่อไม่ตรวจสอบดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงยักยอกเงินรายการอื่นๆ ไปได้ ดังนั้นจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 รวมเป็นเงิน 504,853.25บาท สำหรับจำเลยที่ 3 ตามระเบียบกองทัพอากาศว่าด้วยร้านค้าทหารอากาศดอนเมือง พ.ศ. 2518 ข้อ 13 ให้ผู้จัดการร้านค้ามีอำนาจเฉพาะในกิจการของร้านค้าเกี่ยวกับการอนุมัติการจัดหาสินค้าและอนุมัติการจ่ายเงินเกี่ยวกับการจัดหาสินค้าเท่านั้น ดังปรากฏตามเอกสารหมาย ล.10 ไม่มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบควบคุมเกี่ยวกับการเงินและการบัญชีเลย ที่โจทก์วางระเบียบการรับจ่ายเงินประจำวันของร้านค้าทหารอากาศดอนเมืองให้พนักงานการเงินเสนอสมุดเงินฝากธนาคารพร้อมใบฝากเงินธนาคารต่อผู้จัดการลงชื่อในช่องผู้อนุมัตินั้น และเมื่อฝากเงินธนาคารแล้ว พนักงานการเงินต้องนำสมุดเงินฝากธนาคาร ใบรับฝากเงินธนาคารรับรองว่าได้รับฝากเงินหรือตั๋วเงินแล้วและสมุดเงินสดใหญ่ที่ลงบัญชีหักกลบลบหนี้แสดงยอดเงินเหลืออยู่ที่ธนาคารเท่าไรเสนอผู้จัดการอีกครั้งหนึ่งเพื่อประทับตราลงชื่อว่าถูกต้องนั้นเห็นว่าหน้าที่การตรวจสอบความถูกต้องเป็นหน้าที่ของจำเลยที่2 ส่วนจำเลยที่ 3 เพียงรับทราบเท่านั้น ดังนั้นจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 เพราะไม่มีหน้าที่ดังกล่าวแล้ว ส่วนจำเลยที่ 4 ที่ 5 นั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 4 ที่ 5 จะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา คือลงบัญชีรับ- จ่ายเงินประจำวันตามเอกสารหมาย ล.2, ล.3 และ ล.4 ตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเอกสารที่จำเลยที่ 1 ทำขึ้นแม้จะไม่ใช่ใบรับ – จ่ายเงินที่เจ้าหน้าที่แผนกส่งมาให้จำเลยที่ 1อันเป็นการผิดระเบียบก็ตาม แต่เป็นการทำผิดระเบียบตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งจำเลยที่ 4 ที่ 5 ไม่ทราบว่าเอกสารหมาย ล.2, ล.3 และนั้นไม่ถูกต้องตรงกับใบรับ – จ่ายเงินที่เจ้าหน้าที่แผนกต่างๆ ส่งมา จำเลยที่ 4 ที่ 5 จึงมิได้ประมาทเลินเล่อแต่ประการใด ทั้งเงินที่จำเลยที่ 1 ยักยอกตามฟ้องก็เป็นเงินที่จำเลยที่ 1 นำฝากน้อยกว่าจำนวนที่ต้องฝากจริงหรือไม่ได้ให้จำเลยที่ 4 ที่ 5 ลงบัญชีไม่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชีของจำเลยที่ 4 ที่ 5 ดังนั้นจำเลยที่ 4 ที่ 5 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 สำหรับจำเลยที่ 6 โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 6 ไม่มีหน้าที่เซ็นชื่อในฐานะทหารพยานเพราะไม่ได้รับแต่งตั้งจากเจ้ากรมสวัสดิการทหารอากาศหรือผู้จัดการร้านค้าทหารอากาศดอนเมือง ผู้ที่จะลงชื่อในฐานะนายทหารพยานมีหน้าที่ต้องตรวจสอบหลักฐานต่างๆ ให้ถูกต้องก่อนที่จะลงนามเช่นนั้นได้และอยู่ในฐานะจะรู้การรับ – จ่ายทุกรายการอย่างถูกต้องด้วยนั้นเห็นว่าเมื่อจำเลยที่ 6 ไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นนายทหารพยานเสียแล้ว การที่จำเลยที่ 6 จะลงชื่อหรือไม่ลงชื่อรับรองการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ประจำวันตามที่โจทก์ฟ้อง ก็ไม่ใช่เรื่องปฏิบัติหน้าที่ราชการของจำเลยที่ 6 แต่ประการใดการที่จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินไปตามฟ้องไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่บกพร่องหรือประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 6 จำเลยที่ 6ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 6 ทุจริตร่วมกับจำเลยที่ 1 นั้น เป็นการนอกประเด็นเพราะโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างมาในฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นเป็นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1เพียงจำนวนเงิน 504,853.25 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share