คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2689/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มให้ถูกต้องเป็นคำสั่งก่อนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี และมิใช่คำสั่งตามที่ระบุไว้ใน มาตรา 227 และ 228 แห่ง ป.วิ.พ. จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาคำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 (1) ประกอบด้วยมาตรา 247 ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในระหว่างพิจารณา จึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว โจทก์ยังไม่มีสิทธิฎีกา แม้โจทก์จะเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องก็มีสิทธิเพียงโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้เพื่อใช้สิทธิฎีกาต่อไปเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีนั้นแล้ว หามีสิทธิที่จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้พิพากษาที่ดินตามฟ้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ให้โจทก์แก้ทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นชื่อจำเลย ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง และให้โจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดินแก่จำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 34042 ตำบลคูคต (คลองสองออก) อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี (ธัญบุรี) เนื้อที่ 9 ไร่ 4 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ให้โจทก์จดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่จำเลย หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ทำคำพิพากษาส่งไปยังศาลชั้นต้นเพื่ออ่านให้โจทก์และจำเลยฟัง พร้อมกับมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และให้จำเลยชนะคดีตามฟ้องแย้ง โจทก์อุทธรณ์ขอให้กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาทที่โจทก์ฟ้องและที่จำเลยฟ้องแย้งด้วย แต่โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยเสียค่าขึ้นศาลเฉพาะทุนทรัพย์ในส่วนฟ้องแย้ง ดังนั้น ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลชั้นต้นเรียกโจทก์มาเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้ครบถ้วนภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้งดอ่านคำพิพากษาและส่งสำนวนพร้อมคำพิพากษาคืนศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพื่อดำเนินการต่อไป
โจทก์ฎีกาคำสั่ง
ศาลวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพื่อเป็นคำสั่งที่ขัดต่อกฎหมายนั้น เห็นว่า คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มให้ถูกต้องดังกล่าวเป็นคำสั่งก่อนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี และมิใช่คำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาคำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (1) ประกอบด้วยมาตรา 247 ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในระหว่างพิจารณา จึงต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว โจทก์ยังไม่มีสิทธิฎีกา แม้โจทก์จะเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบหรือไม่ถูกต้อง ก็มีสิทธิเพียงโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้เพื่อใช้สิทธิฎีกาต่อไปเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีนั้นแล้ว หามีสิทธิที่จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นไม่ การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ขึ้นมาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ ให้คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นนอกจากนี้ให้เป็นพับ.

Share