คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3778/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทซึ่งโจทก์อ้างว่ามีค่าเช่าเดือนละ 24,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าค่าเช่ามีเพียงเดือนละ 2,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างชำระแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท โจทก์ไม่อุทธรณ์ข้อเท็จจริงจึงฟังยุติว่าอาคารพิพาทมีค่าเช่าเดือนละ 2,000 บาท และในส่วนฟ้องแย้งนั้นจำเลยมีคำขอบังคับให้โจทก์คืนเงินมัดจำ 50,000 บาท แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คดีตามฟ้องเดิมและฟ้องแย้งจึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่งและวรรคสอง
ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน ในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยไม่มาศาล การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาย่อมถือได้ว่าจำเลยขาดนัดทั้งสองฐานะ คือทั้งที่เป็นจำเลยและที่เป็นโจทก์ฟ้องแย้งด้วย เมื่อโจทก์ได้นำพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นตามฟ้องและคำให้การแก้ฟ้องแย้งของโจทก์จนเสร็จแล้ว จึงถือได้ว่าโจทก์ในฐานะจำเลยฟ้องแย้งได้แจ้งให้ศาลทราบโดยปริยายว่าโจทก์ในฐานะจำเลยฟ้องแย้งได้ขอดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ตาม ป.วิ.พ. 201 (เดิม) แล้ว การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวและพิพากษาคดีในส่วนฟ้องแย้งจึงชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2537 จำเลยทำสัญญาเช่าอาคารเลขที่ 4296 กับโจทก์มีกำหนดระยะเวลา 2 ปี เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่า จำเลยขอเช่าต่อโจทก์ตกลงโดยเปลี่ยนแปลงค่าเช่าเป็นเดือนละ 24,000 บาท กำหนดชำระค่าเช่าทุกวันที่ 1 ของเดือน หากผิดสัญญาถือว่าสัญญาเลิกกัน จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนกันยายน 2541 โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระค่าเช่าหลายครั้ง จำเลยไม่ชำระ โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ในอาคารที่เช่าต่อไป จึงมอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากอาคารที่เช่าและชำระค่าเช่าที่ค้างอยู่แก่โจทก์ภายใน 30 วัน
นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับขับไล่จำเลยพร้อมบริวารออกไปจากอาคารที่เช่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 248,150 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 240,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 24,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากอาคารที่เช่า
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์และไม่มีสิทธิ์เป็นผู้ให้เช่าอาคารพิพาท ในการทำสัญญาเช่ากับโจทก์ตามฟ้องมีข้อตกลงคิดค่าเช่าเดือนละ 2,000 บาท และจำเลยวางเงินมัดจำการเช่าให้โจทก์ไว้เป็นเงินจำนวน 50,000 บาท โดยโจทก์จะคืนเงินมัดจำให้แก่จำเลยเมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่า แต่เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่า โจทก์ไม่ยอมคืนเงินมัดจำให้จำเลย และให้จำเลยครอบครองทรัพย์สินอยู่ต่อ และคิดค่าเช่าเดือนละ 2,000 บาท ตลอดเวลาการเช่า จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา โจทก์มอบหมายให้คนรับใช้มาเก็บค่าเช่าจากจำเลยทุกเดือน จำเลยชำระเงินค่าเช่าครบถ้วนแล้ว โจทก์ไม่อาจบอกเลิกการเช่าได้ หากจำเลยจะค้างชำระค่าเช่าก็เพียงเดือนละ 2,000 บาท รวม 10 เดือน เป็นเงิน 20,000 บาท จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ออกจากอาคารที่เช่า หากโจทก์ประสงค์จะฟ้องขับไล่จำเลย โจทก์ต้องคืนเงินมัดจำนวน 50,000 บาท ขอให้ยกฟ้องและขอให้บังคับโจทก์คืนเงินมัดจำจำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมอาคารพิพาท แต่ถึงแม้โจทก์จะไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่เช่าแต่โจทก์เป็นผู้ให้เช่าได้ ซึ่งจำเลยก็ยอมรับและทำสัญญาเช่ากับโจทก์ เงินจำนวน 50,000 บาท ที่จำเลยมอบให้โจทก์เป็นเงินประกันความเสียหายของทรัพย์สินที่เช่า และเมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดในวันที่ 30 กันยายน 2539 จำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวคืนจากโจทก์แล้ว ภายหลังจากครบกำหนดสัญญาเช่าฉบับลงวันที 1 ตุลาคม 2537 จำเลยขอเช่าอาคารพิพาทต่อโจทก์ยินยอมให้จำเลยเช่าต่อโดยเปลี่ยนแปลงค่าเช่าเป็นเดือนละ 24,000 บาท แต่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือ ก่อนฟ้องโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาให้จำเลยออกจากอาคารพิพาทและให้ชำระค่าเช่าที่ค้างแก่โจทก์ ภายในกำหนดระยะเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือซึ่งเป็นเวลาพอสมควร ขอให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารขนย้ายสิ่งของออกไปจากอาคารเลขที่ 4296 ถนนพระรามที่ 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพหมานคร และให้จำเลยชำระค่าเช่าเป็นเงินจำนวน 8,000 บาท กับค่าเสียหายอีกเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายสิ่งของออกไปจากอาคารดังกล่าว ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา
ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มและนำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จำเลยไม่ปฏิบัติตามภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำหน่ายอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยออกจากสารบบความ ยกคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจปัญหาตามอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลยว่า จำเลยไม่จงใจขาดนัดพิจารณาแล้วพิพากษายกคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่เป็นการไม่ชอบ เพราะศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำหน่ายอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยออกจากสารบบความแล้ว จึงไม่มีประเด็นเรื่องจำเลยจงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่ตามอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยอีก แม้จำเลยจะกล่าวอ้างปัญหาดังกล่าวมาในอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลยก็เป็นอุทธรณ์นอกเหนือจากคำพิพากษาศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทซึ่งโจทก์อ้างว่ามีค่าเช่าเดือนละ 24,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าค่าเช่ามีเพียงเดือนละ 2,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างชำระแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท โจทก์ไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงจึงฟังยุติว่าอาคารพิพาทมีค่าเช่าเดือนละ 2,000 บาท ในส่วนฟ้องแย้งนั้นจำเลยมีคำขอบังคับท้ายฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนเงินมัดจำนวน 50,000 บาท แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ดังนั้น คดีตามฟ้องเดิมของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยจึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่งและวรรคสอง อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า จำเลยไม่จงใจขาดนัดพิจารณาก็ดี พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังฟังไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าและโจทก์ยังไม่ได้คืนเงินมัดจำให้แก่จำเลยก็ดี ล้วนแต่เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นได้ทำความเห็นแย้งไว้หรือรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้หรือได้รับอนุญาตจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยไม่จงใจขาดนัดพิจารณาแล้วพิพากษายกคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น สำหรับปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยในข้อที่ว่า เมื่อจำเลยขาดนัดพิจารณาศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับฟ้องแย้งของจำเลยจากสารบบความ การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยเมื่อปรากฏว่าคดีนี้ต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและคงมีปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยอยู่เพียงประการเดียว เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในสำนวนเพียงพอที่จะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ย้อนสำรวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย สำหรับปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ในส่วนฟ้องแย้งของจำเลยไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาคดีไป โดยไม่จำหน่ายคดีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน ในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและได้สืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวจนเสร็จสิ้นแล้ว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาย่อมถือได้ว่าจำเลยขาดนัดทั้งสองฐานะ คือ ทั้งที่เป็นจำเลยและที่เป็นโจทก์ฟ้องแย้งด้วย เมื่อโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนได้นำพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นตามฟ้องและคำให้การแก้ฟ้องแย้งของโจทก์ไปจนเสร็จสิ้นแล้ว จึงถือได้ว่าโจทก์ในฐานะจำเลยฟ้องแย้งได้แจ้งให้ศาลทราบโดยปริยายว่าโจทก์ในฐานะจำเลยฟ้องแย้งได้ขอดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 (เดิม) แล้ว การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวและพิพากษาคดีในส่วนฟ้องแย้งจึงชอบด้วยกฎหมาย หาใช้ต้องจำหน่ายคดีสำหรับฟ้องแย้งของจำเลยออกจากสารบบความดังกล่าวที่จำเลยเข้าใจไม่
อนึ่ง ศาลชั้นต้นพิพากายกฟ้องโดยมิได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้ง และศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาคดีโดยมิได้สั่งคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในส่วนอุทธรณ์คำพิพากษาที่จำเลยเสียเกินมาจำนวน 50 บาท ให้แก่จำเลย เป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จำนวน 50 บาท ให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับฟ้องแย้งในศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ.

Share