คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 258/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนกองดินและกำแพงซีเมนต์ออกจากทางเข้าออกที่ดินพิพาท หรือให้โจทก์ถมทางที่ขุดหลุมไว้ปิดกั้นมิให้จำเลยออกสู่ถนนหลวง ซึ่งเป็นการขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์นอกขอบเขตตามคำให้การของจำเลย มิใช่เป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณา ทั้งจำเลยมิได้ฟ้องแย้ง จึงมิใช่การขอคุ้มครองประโยชน์เพื่อบังคับตามคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 264 ไม่ชอบที่จำเลยจะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินและบังกะโลของโจทก์ โดยให้จำเลยรื้อถอนบังกะโลจำนวน 14 หลัง ที่จำเลยสร้างเพิ่มเติมบนที่ดินของโจทก์และทำให้ที่ดินอยู่ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายนับแต่วันครบกำหนดสัญญาเช่าที่ดินและบังกะโล (วันที่ 14 ธันวาคม 2543) ในอัตราเดือนละ 20, 000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่เช่า กับให้ใช้ค่าธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท จำเลยอุทธรณ์และได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์
จำเลยยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวก่อนศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาว่า เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2546 โจทก์ได้นำหินและดินไปกองปิดทางเข้าออกบังกะโลที่จำเลยเช่าจากโจทก์และปักหลักทำรั้วลวดหนามขวางทางเข้าออกที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์และตัดสายไฟฟ้าที่ได้ใช้ระหว่างการเช่าที่ดินและบังกะโลจากโจทก์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่มีอำนาจ ทำให้จำเลยเดือดร้อนไม่สามารถนำยานพาหนะออกจากที่ดินพิพาทและไม่มีไฟฟ้าใช้ ขอให้มีคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนกองดินและกำแพงซีเมนต์ออกจากทางเข้าออกสู่ถนนหลวง โจทก์ยื่นคำคัดค้านคำร้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ฎีกาจำเลยที่ว่า มีเหตุสมควรที่จำเลยจะได้รับการคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรรณ์ ภาค 8 โดยให้โจทก์รื้อถอนกองดินและกำแพงซีเมนต์ออกจากทางเข้าออกที่ดินพิพาท กับให้โจทก์ถมทางที่ขุดหลุมไว้ปิดกั้นมิให้จำเลยออกสู่ถนนหลวงหรือไม่ เห็นว่า การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 จะต้องเป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทกันในคดีนั้นได้รับความคุ้มครองไปจนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษา คดีนี้ตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยพิพาทกันในประเด็นที่ว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าหรือไม่ และโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาเช่าใหม่ภายหลังสัญญาเช่าเดิมสิ้นสุดหรือไม่ แต่ประโยชน์ที่จำเลยขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการกระทำของโจทก์ที่นำหินและดินไปกองปิดทางเข้าออกบังกะโลที่จำเลยเช่าจากโจทก์ และที่โจทก์ปักหลักทำรั้วลวดหนามขวางทางเข้าออกที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์และตัดสายไฟฟ้า ซึ่งเห็นได้ชัดว่า เป็นเรื่องที่จำเลยอ้างว่ากระทำละเมิดขัดขวางมิให้จำเลยใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่า ไม่ใช่ประโยชน์ในเรื่องที่เกี่ยวกับข้อต่อสู้หรือข้อเถียงตามคำให้การของจำเลย คำขอคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยที่ขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนกองดินและกำแพงซีเมนต์ออกจากทางเข้าออกที่ดินพิพาทก็ดี หรือให้โจทก์ถมทางที่ขุดหลุมไว้ปิดกั้นมิให้จำเลยออกสู่ถนนหลวงก็ดี จึงเป็นการขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์นอกขอบเขตตามคำให้การของจำเลย มิใช่เป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณา ทั้งจำเลยมิได้ฟ้องแย้งประการใด จึงมิใช่การขอคุ้มครองประโยชน์เพื่อบังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ไม่ชอบที่จำเลยจะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ในคดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ยกคำร้องของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในเหตุผลฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

Share