แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
สัญญาเช่าที่ราชพัสดุเพื่อใช้เป็นทางเดินและเป็นที่ตั้งตลาดและสัญญาเช่าอาคารหรือสิ่งก่อสร้างที่กำนหดว่าการชำระค่าเช่า ค่าภาษี ค่าธรรมเนียม หรือเงินอื่นใดที่ผู้เช่าต้องชำระให้แก่ผู้ให้เช่าตามกำหนด หาชำระเกินกำหนดเวลา ผู้เช่าจะต้องชำระเงินเพิ่มขึ้นจากเงินดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับให้ผู้เช่าอีกในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินที่ค้างชำระ เมื่อครกำหนดสัญญาเช่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้เช่าที่ดินและอาคารตลาดจากโจทก์ และโจทก์ได้รับมอบที่ดินพร้อมอาคารคืนจากจำเลยแล้ว การฟ้องคดีเรียกเบี้ยปรับตามสัญญาเช่าดังกล่าวจึงเป็นคดีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยปฏิบัติเกี่ยวแก่สัญญาเช่าเช่าต้องฟ้องภายใน 6 เดือนนับแต่วันส่งคืนทรัพย์สินที่ให้เช่าตามมาตรา 563 กรณีมิใช่เป็นเรื่องดอกเบี้ยค้างชำระหรือค่าเช่าทรัพย์สินค้างชำระอันมีอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 193/33
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับมอบที่ราชพัสดุจากกรมธนารักษ์จำนวน 2 แปลง และอาคารตลาดเพียรยินดี ซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวตั้งอยู่ เพื่อให้โจทก์จัดหาประโยชน์นำรายได้มาบำรุงการศึกษาประชาบาลในจังหวัดพัทลุง จำเลยเป็นผู้เช่าอาคารและที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นเวลา 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2540 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2541 โดยแยกทำสัญญาเป็น 2 ฉบับ สัญญาฉบับแรกเป็นการเช่าตลาดเพียรยินดีและที่ดิน 1 แปลง อัตราค่าเช่าปีละ 300,000 บาท ต้องชำระค่าเช่าภายในวันที่ 15 มกราคม 2541 จำเลยได้วางเงินประกันการปฏิบัติตามสัญญาจำนวน 75,000 บาท สัญญาฉบับที่สองเป็นการเช่าที่ดินใช้เป็นทางเดินและเป็นที่ตั้งตลาดเพียรยินดี อัตราค่าเช่าเดือนละ 2,000 บาท และต้องชำระค่าเช่าภายในวันที่ 15 มกราคม 2541 จำเลยได้วางเงินประกันการปฏิบัติตามสัญญาจำนวน 2,000 บาท จำเลยได้มอบอาคารสถานที่เช่าและที่ดินที่เช่าไปเรียบร้อยแล้ว หลังครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าทั้งสองฉบับ จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า โจทก์ได้นำเงินประกันการปฏิบัติตามสัญญาไปหักชำระค่าเช่าสัญญาฉบับแรกมีค่าเช่าค้างชำระจำนวน 225,000 บาท สัญญาเช่าฉบับที่สองมีค่าเช่าค้างชำระจำนวน 22,000 บาท รวมค่าเช่าทั้งสองสัญญา 247,000 บาท การที่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าดังกล่าวทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและจำเลยเป็นผู้ผิดสัญญาต้องชำระเบี้ยปรับนับตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2541 อัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินที่ค้างชำระ เศษของเดือนให้นับเป็น 1 เดือน คิดเป็นค่าปรับ 222,300 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเช่าและเบี้ยปรับจำนวน 469,300 บาท พร้อมเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือน เศษของเดือนให้นับเป็น 1 เดือน ในต้นเงินจำนวน 247,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องเรียกเบี้ยปรับจากจำเลยจำนวน 222,300 บาท ภายหลังกำหนด 6 เดือน นับแต่วันที่สิ้นสุดสัญญาหรือวันผิดสัญญาชำระค่าเช่า โดยจำเลยไม่เคยชำระค่าปรับแก่โจทก์เลยนับแต่วันผิดนัดจึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 247,000 บาท และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนในทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเรียกเอาเบี้ยปรับตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาเช่าที่ราชพัสดุเพื่อใช้เป็นทางเดินและเป็นที่ตั้งตลาดเพียรยินดี และสัญญาเช่าอาคารหรือสิ่งก่อสร้างเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 ข้อที่ 10 และข้อที่ 12 ตามลำดับกำหนดไว้ว่าการชำระค่าเช่า ค่าภาษี ค่าธรรมเนียม หรือเงินอื่นใดที่ผู้เช่าต้องชำระให้แก่ผู้ให้เช่าตามกำหนดเวลา หากชำระเกินกำหนดเวลา ผู้เช่าจะต้องชำระเงินเพิ่มขึ้นจากเงินดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับให้ผู้ให้เช่าอีกในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินที่ค้างชำระ เศษของเดือนให้นับเป็น 1 เดือน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้โดยโจทก์มิได้โต้แย้งว่า สัญญาเช่าตามเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 ดังกล่าวเป็นสัญญาเช่าทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 537 ข้อตกลงเรื่องเบี้ยปรับเป็นข้อตกลงตามสัญญาเช่าทั้งสองฉบับดังกล่าว เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าทั้งสองสัญญา จำเลยไม่ได้เป็นผู้เช่าที่ดินทั้งสองแปลงและอาคารตลาดเพียรยินดีจากโจทก์และโจทก์ได้รับมอบที่ดินพร้อมอาคารเพียรยินดีคืนจากจำเลยในวันที่ 31 มกราคม 2541 การฟ้องคดีเรียกเบี้ญปรับตามสัญญาเช่าเป็นคดีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยปฏิบัติเกี่ยวแก่สัญญาก็ต้องดำเนินการฟ้องเสียภายใน 6 เดือนนับแต่วันส่งคืนทรัพย์สินที่ให้เช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 563 กรณีหาใช่เป็นเรื่องดอกเบี้ยค้างชำระหรือค่าเช่าทรัพย์สินค้างชำระ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 ตามที่โจทฎีกาไม่เมื่อโจทก์มาฟ้องเรียกเบี้ยปรับจากจำเลยเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2546 เกินกำหนด 6 เดือนนับแต่วันส่งคืนทรัพย์สินที่เช่า คดีโจทก์ที่ขอให้จำเลยชำระเบี้ยปรับจึงขาดอายุความตามที่จำเลยต่อสู้ในคำให้การ คำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ