แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
หนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีล้มละลายศาลพิพากษาให้จำเลยส่งคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ หากคืนรถไม่ได้จึงให้จำเลยใช้ราคารถเป็นเงิน 800,000 บาท เป็นการกำหนดขั้นตอนการบังคับคดีไว้ซึ่งโจทก์จะต้องบังคับคดีไปตามลำดับในคำพิพากษา ไม่ปรากฏว่าการบังคับเอากับตัวรถยนต์ที่เช่าซื้อไม่สามารถกระทำได้ ซึ่งหากการคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อยังสามารถที่จะกระทำได้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิได้ราคาใช้แทน จึงไม่แน่ชัดว่าหนี้ที่จะบังคับให้ใช้ราคาแทนการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อจะมีหรือไม่ จึงเป็นหนี้ที่ยังไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 9 (3)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 962/2547 ซึ่งพิพากษาให้จำเลยกับพวกร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี ถ้าส่งคืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 800,000 บาท ให้จำเลยกับพวกร่วมกันชำระค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 500,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระค่าเสียหายอีกเดือนละ 15,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถคืนหรือใช้ราคาแทนแต่ไม่เกิน 16 เดือน หลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ยอดหนี้ตามคำพิพากษาคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,639,863 บาท โจทก์ได้สืบหาทรัพย์สินของจำเลยแล้วไม่พบว่ามีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ กับโจทก์ได้ส่งหนังสือทวงหนี้ให้จำเลยชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง มีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่จำเลยไม่ยอมชำระหนี้ พฤติการณ์ของจำเลยต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยไม่ให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 962/2547 ซึ่งพิพากษาให้จำเลยกับพวกร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี ถ้าส่งคืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 800,000 บาท ให้จำเลยกับพวกร่วมกันชำระค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 500,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระค่าเสียหายอีกเดือนละ 15,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถคืนหรือใช้ราคาแทนจนเสร็จแต่ไม่เกิน 16 เดือน ตามสำเนาคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.3 หลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ยอดหนี้ตามคำพิพากษาคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,639,863 บาท ตามเอกสารหมาย จ.5 โจทก์ได้สืบหาทรัพย์สินของจำเลยแล้วไม่พบว่ามีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ กับโจทก์ได้ส่งหนังสือทวงหนี้ให้จำเลยชำระหนี้แล้ว 2 ครั้ง มีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน จำเลยได้รับหนังสือแล้วตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 แต่จำเลยไม่ชำระหนี้
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า หนี้ตามคำพิพากษาที่กำหนดให้จำเลยคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 800,000 บาท แทนนั้นเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนหรือไม่ เห็นว่า หนี้ตามคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.3 กำหนดให้จำเลยส่งคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ หากคืนรถไม่ได้จึงให้จำเลยใช้ราคารถเป็นเงิน 800,000 บาท ดังนี้ เป็นเรื่องคำพิพากษากำหนดขั้นตอนการบังคับคดีไว้ซึ่งโจทก์จะต้องบังคับคดีไปตามลำดับในคำพิพากษาโดยจะต้องบังคับให้จำเลยส่งรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนก่อน หากไม่สามารถบังคับเอาตัวรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมาได้จึงจะสามารถบังคับเอาราคาใช้แทนจำนวน 800,000 บาท ได้ ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าการบังคับเอากับตัวรถยนต์ที่เช่าซื้อไม่สามารถกระทำได้ ซึ่งหากการคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อยังสามารถที่จะกระทำได้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิได้ราคาใช้แทนจำนวน 800,000 บาท ที่โจทก์นำสืบว่า ได้สืบหาทรัพย์สินของจำเลยแล้วไม่พบว่ามีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ก็น่าจะเป็นการสืบหาทรัพย์สินของจำเลยที่จะยึดมาชำระหนี้มากกว่า มิใช่การสืบหารถยนต์ที่เช่าซื้อเพื่อที่จะยึดกลับคืนมา เมื่อโจทก์มิได้ดำเนินการบังคับคดีตามลำดับในคำพิพากษา กรณีจึงไม่แน่ชัดว่าหนี้ที่จะบังคับให้ใช้ราคาแทนการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อจะมีหรือไม่ จึงเป็นหนี้ที่ยังไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 9 (3) อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ