คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2898/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมให้เงิน 300,000 บาท แก่จำเลย โดยขู่เข็ญว่าหากผู้เสียหายไม่ยอมให้เงินจำนวนนั้น จำเลยจะนำภาพเปลือยของผู้เสียหายออกเปิดเผยจนผู้เสียหายยอมมอบเงิน 10,000 บาท แก่จำเลย โจทก์มิได้บรรยายในคำฟ้องว่า ภาพเปลือยของผู้เสียหายที่จำเลยขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยเป็นความลับซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้ผู้เสียหายหรือบุคคลที่สามเสียหาย ทั้งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญ เพราะหากไม่ใช่ความลับที่เปิดเผยแล้วจะทำให้ผู้เสียหายหรือบุคคลที่สามต้องเสียหายก็ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าไม่ใช่ความลับที่ผู้เสียหายประสงค์จะปกปิดเอาไว้มิให้เปิดเผยแก่บุคคลทั่วไปอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 338 ดังนั้น คำฟ้องของโจทก์จึงขาดองค์ประกอบความผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2541 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันข่มขืนใจนางลิ่วน้อย อธิรัตนมงคล ผู้เสียหายให้ยอมให้จำเลยทั้งสองได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินเป็นเงิน 300,000 บาท โดยขู่เข็ญว่าหากผู้เสียหายไม่ยอมมอบเงินจำนวนนั้น จำเลยทั้งสองจะนำภาพถ่ายเปลือยของผู้เสียหายออกเปิดเผย จนผู้เสียหายยอมให้เงิน 10,000 บาท แก่จำเลยทั้งสอง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา 338, 83, 33 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 338 ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 3 ปี ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง และยกคำขอริบของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเป็นตัวการกระทำความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 338 โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมให้เงิน 300,000 บาท ซึ่งเป็นประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินแก่จำเลยทั้งสอง โดยขู่เข็ญว่าหากผู้เสียหายไม่ยอมให้เงินจำนวนนั้น จำเลยทั้งสองจะนำภาพเปลือยของผู้เสียหายออกเปิดเผย จนผู้เสียหายยอมมอบเงิน 10,000 บาท แก่จำเลยทั้งสอง เห็นว่า โจทก์มิได้บรรยายในคำฟ้องว่า ภาพเปลือยของผู้เสียหายที่จำเลยทั้งสองขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยเป็นความลับซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้ผู้เสียหายหรือบุคคลที่สามเสียหาย ทั้งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญ เพราะหากไม่ใช่ความลับที่เปิดเผยแล้วจะทำให้ผู้เสียหายหรือบุคคลที่สามต้องเสียหาย ก็ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าไม่ใช่ความลับที่ผู้เสียหายประสงค์จะปกปิดเอาไว้มิให้เปิดเผยแก่บุคคลทั่วไปอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 338 ดังนั้น คำฟ้องของโจทก์จึงขาดองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แม้จำเลยทั้งสองจะเข้าใจข้อหาในคำฟ้องได้ดีและไม่หลงต่อสู้ ศาลก็ไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้องที่ไม่ชอบนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน แต่ให้คืนของกลางแก่เจ้าของ.

Share