แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ จะต้องเป็นการอุทธรณ์เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น อุทธรณ์ของผู้ร้องที่ว่าผู้ร้องได้มอบอำนาจให้ ศ. เข้าร่วมประมูลและทำหนังสือสัญญาซื้อขายสิทธิเรียกร้องของโจทก์กับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เพียงแต่ผู้ร้องมิได้นำหนังสือมอบอำนาจมาแสดงต่อศาลนั้น เป็นอุทธรณ์ที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงส่วนที่ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อไปว่า แม้ ศ. ไม่มีอำนาจกระทำการดังกล่าวแต่ผู้ร้องก็ได้รับทราบการกระทำทั้งหมดของ ศ. และมิได้คัดค้านเท่ากับเป็นการให้สัตยาบันในผลแห่งการที่ตัวแทนได้กระทำลงไปนั้นก็เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงเพื่อนไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย เพราะต้องรับฟังข้อเท็จจริงเสียก่อนว่า ศ. เป็นตัวแทนของผู้ร้องหรือไม่ผลเท่ากับเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงนั่นเอง การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาจึงไม่ชอบ
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 3,851,471.73 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 111515 ตำบลบางบอน อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจเงินทุน และได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบกิจการรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืมและสินทรัพย์ของสถาบันการเงิน 56 แห่ง ที่ถูกปิดกิจการจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ โจทก์เป็นสถาบันการเงินที่ถูกระงับการดำเนินกิจการตามคำสั่งของรัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลัง ซึ่งสั่งโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ และคณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินได้แต่งตั้งคณะกรรมการทำการชำระบัญชีของโจทก์ตามมาตรา 30 แห่งพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 ต่อมาผู้ชำระบัญชีของโจทก์ร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งให้โจทก์ล้มละลาย และศาลมีคำสั่งให้โจทก์ล้มละลายแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รวบรวมทรัพย์สินของโจทก์ผู้ล้มละลาย โดยนำสิทธิเรียกรอ้งของโจทก์ในคดีนี้ออกขายโดยวิธีอื่นตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ ผู้ร้องเป็นผู้ชนะการประมูลและได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายสิทธิเรียกร้องกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ซึ่งรวมถึงสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาในคดีนี้ ผู้ร้องเป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีต่อจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษารวมทั้งหลักประกันและการค้ำประกันที่ให้ไว้เพื่อสิทธิเรียกร้องนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 305 และมาตรา 306 จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในวิธีการบังคับคดี และเป็นผู้มีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง รวมทั้งมีเหตุจำเป็นที่ต้องร้องสอดเข้ามาในคดีเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่ตามกฎหมาย ผู้ร้องมีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องไปยังจำเลยทั้งสองแล้ว ขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนที่โจทก์และเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดีต่อไป
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่คัดค้าน
จำเลยทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า หนังสือมอบอำนาจของผู้ร้องและหนังสือมอบอำนาจช่วงให้ยื่นคำร้องคดีนี้เป็นเอกสารปลอมและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ร้องกับจำเลยทั้งสองไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน นายศิวพงษ์ พลังตระกูล ลงลายมือชื่อเป็นผู้ซื้อในหนังสือสัญญาซื้อขายสิทธิเรียกร้องกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยไม่ปรากฏว่ามีหนังสือมอบอำนาจจากผู้ร้องให้กระทำแทน ทั้งไม่มีการประทับตราของผู้ร้อง หนังสือสัญญาซื้อขายสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ร้องใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เพราะซื้อสิทธิเรียกร้องมาในราคาไม่เต็มจำนวนราคาสินทรัพย์หรือหนี้ที่แท้จริง แล้วมาเรียกร้องเอาจากจำเลยทั้งสองเพื่อแสวงหากำไรที่มากเกินความจริงและไม่เป็นธรรม ผู้ร้องไม่เคยบอกกล่าวแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองทราบ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดีแทนที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา อ้างว่าผู้ร้องซื้อสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาในคดีนี้มาจากการขายของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ในคดีล้มละลาย ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องโดยวินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่มีหนังสือมอบอำนาจมาแสดงว่าผู้ร้องได้มอบอำนาจให้นายศิวพงษ์ พลังตระกูล เข้าทำสัญญาซื้อขายกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์แทนผู้ร้อง ผู้ร้องจึงไม่เป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีต่อจำเลยทั้งสอง เห็นว่า การอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ จะต้องเป็นการอุทธรณ์เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น อุทธรณ์ของผู้ร้องที่ว่าผู้ร้องได้มอบอำนาจให้นายศิวพงษ์เข้าร่วมประมูลและทำหนังสือสัญญาซื้อขายสิทธิเรียกร้องของโจทก์กับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เพียงแต่ผู้ร้องมิได้นำหนังสือมอบอำนาจมาแสดงต่อศาลนั้น เป็นอุทธรณ์ที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนที่ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อไปว่า แม้นายศิวพงษ์ไม่มีอำนาจกระทำการดังกล่าว แต่ผู้ร้องก็ได้รับทราบการกระทำทั้งหมดของนายศิวพงษ์และมิได้คัดค้านเท่ากับเป็นการให้สัตยาบันในผลแห่งการที่ตัวแทนได้กระทำลงไปนั้น ก็เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย เพราะต้องรับฟังข้อเท็จจริงเสียก่อนว่านายศิวพงษ์เป็นตัวแทนของผู้ร้องหรือไม่ ผลเท่ากับเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงนั่นเอง การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ ศาลฎีกาไม่อาจวินิจฉัยให้ได้”
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ