แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ จึงอยู่ภายใต้บังคับของ ป.วิ.พ. มาตรา 199 เบญจ วรรคสี่ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่แล้ว จึงเป็นที่สุด โจทก์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาค 7 ก็ไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ แม้จำเลยมิได้ฎีกาในข้อที่โจทก์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์นี้แต่ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามมาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246, 247 คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยต่อไป
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ยื่นฟ้องขอให้บังคับจำเลยซึ่งกระทำละเมิดชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยและได้รับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกัน จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ จำนวน 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยไม่ทราบว่าถูกฟ้องเนื่องจากจำเลยไม่ได้อาศัยอยู่ ณ ภูมิลำเนาตามที่โจทก์ระบุในคำฟ้องมาตั้งแต่ปี 2527 จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา หากจำเลยได้มีโอกาสต่อสู้คดีย่อมจะทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง เนื่องจากผู้เอาประกันภัยและจำเลยได้ประนีประนอมยอมความกันแล้วโดยต่างฝ่ายต่างไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายหรือดำเนินคดีอย่างใดซึ่งกันและกัน ขอให้พิจารณาคดีใหม่
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว คำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะยื่นเมื่อพ้นกำหนดแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ ให้จำเลยยื่นคำให้การภายใน 15 วัน
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ กรณีจึงอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 เบญจ วรรคสี่ ซึ่งบัญญัติว่า “คำสั่งศาลที่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ให้เป็นที่สุด แต่ในกรณีศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตผู้ขออาจอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด” ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่แล้ว คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงเป็นที่สุดตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว โจทก์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาค 7 ก็ไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าว แม้จำเลยมิได้ฎีกาในข้อที่โจทก์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์นี้แต่ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246, 247 คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยต่อไป”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ยกอุทธรณ์ของโจทก์และฎีกาของจำเลย ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่โจทก์และชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ