แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไปในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง และไม่ได้แจ้งกำหนดวันเวลาขายทอดตลาดให้จำเลยที่ 2 ทราบ กรณีตามคำร้องของจำเลยที่ 2 จึงอยู่ภายใต้บังคับของ ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคห้า ซึ่งบัญญัติว่า “ในการยื่นคำร้องต่อศาลตามมาตรานี้ หากมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องนั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลอื่นที่อาจได้รับความเสียหายเนื่องจากการยื่นคำร้องดังกล่าวร้องขอ ศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้ผู้ยื่นคำร้องวางเงินหรือหาประกันต่อศาลตามจำนวนและภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนด เพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลนั้นได้ ถ้าผู้ยื่นคำร้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องนั้นเสีย คำสั่งของศาลที่ออกตามความในวรรคนี้ให้เป็นที่สุด” ข้อเท็จจริงปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 นำเงินจำนวน 50,000 บาท มาวางเป็นประกันค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ซื้อทรัพย์ภายใน 15 วัน จำเลยที่ 2 ไม่นำเงินมาวางภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด แต่กลับยื่นคำแถลงขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไปอีก เมื่อศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินประกันและมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของจำเลยที่ 2 คำสั่งศาลชั้นต้นย่อมเป็นที่สุดตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 มาเป็นการไม่ชอบ และไม่ก่อสิทธิแก่จำเลยที่ 2 ในการที่จะฎีกาต่อมาอีก
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 43,467 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 143195 ตำบลอนุสาวรีย์ (กูบแดง) อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองตามคำพิพากษาตามยอม ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองจากการขายทรัพย์ที่ยึดก่อนเจ้าหนี้รายอื่น ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาที่ค้างชำระจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองก่อนโจทก์และเจ้าหนี้รายอื่น ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไปในราคา 1,400,000 บาท โดยนายธงชัย ผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ประมูลได้
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไปในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงที่ควรจะขายได้ ซึ่งเป็นการขายครั้งแรก และจำเลยที่ 2 ไม่ทราบกำหนดวันนัดขายทอดตลาดดังกล่าว จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมาย ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด
ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ในระหว่างนัดไต่สวน ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 วางเงินหรือหาประกันต่อศาลตามจำนวนและภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนดเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ซื้อทรัพย์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 วางเงินประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ซื้อทรัพย์จำนวน 50,000 บาท ภายใน 15 วัน
จำเลยที่ 2 ยื่นคำแถลงว่า ในวันนัดฟังคำสั่งจำเลยที่ 2 เดินทางไปต่างจังหวัด ทนายความจำเลยที่ 2 ติดว่าความที่ศาลอื่น หลังจากนั้นหลงลืมไม่ได้มาตรวจสำนวน เพิ่งทราบคำสั่งศาลในวันที่ยื่นคำร้องนี้ ขอขยายระยะเวลาวางเงินประกันออกไปอีก 15 วัน นับแต่วันยื่นคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงิน จำเลยที่ 2 ไม่นำเงินประกันค่าสินไหมทดแทนมาวางต่อศาลภายในเวลาที่กำหนด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า ให้ยกคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไปในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง และไม่ได้แจ้งกำหนดวันเวลาขายทอดตลาดให้จำเลยที่ 2 ทราบ กรณีตามคำร้องของจำเลยที่ 2 จึงอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 296 วรรคห้า ซึ่งบัญญัติว่า “ในการยื่นคำร้องต่อศาลตามมาตรานี้ หากมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องนั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลอื่นที่อาจได้รับความเสียหายเนื่องจากการยื่นคำร้องดังกล่าวร้องขอ ศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้ผู้ยื่นคำร้องวางเงินหรือหาประกันต่อศาลตามจำนวนและภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนด เพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลนั้นได้ ถ้าผู้ยื่นคำร้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องนั้นเสีย คำสั่งของศาลที่ออกตามความในวรรคนี้ให้เป็นที่สุด” ข้อเท็จจริงปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 นำเงินจำนวน 50,000 บาท มาวางเป็นประกันค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ซื้อทรัพย์ภายใน 15 วัน จำเลยที่ 2 ไม่นำเงินมาวางภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด แต่กลับยื่นคำแถลงขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไปอีก เมื่อศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินประกันและมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของจำเลยที่ 2 คำสั่งศาลชั้นต้นย่อมเป็นที่สุดตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 มาเป็นการไม่ชอบ และไม่ก่อสิทธิแก่จำเลยที่ 2 ในการที่จะฎีกาต่อมาอีก
พิพากษายกอุทธรณ์และฎีกาของจำเลยที่ 2 ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแก่จำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ.