คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 561/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อุปกรณ์ทางการแพทย์เป็นสังหาริมทรัพย์ที่โจทก์สามารถขนย้ายออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนไปใช้งานในสถานที่อื่นได้ แม้โจทก์จะนำสืบว่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ดังกล่าวไม่มีผู้ประสงค์จะซื้อ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นความเสียหายโดยตรงอันเนื่องมาจากการที่โจทก์ต้องออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเวนคืนนั้นตามความหมายของ พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 21 วรรคสุดท้าย
โจทก์ผู้ถูกเวนคืนจะมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนจากการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์เพียงใดนั้นจะต้องเป็นไปตามที่ พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 บัญญัติไว้ ตาม พ.ร.บ. นี้ไม่มีบทบัญญัติให้จ่ายเงินค่าทดแทนสำหรับความเสียหายต่อธุรกิจของผู้ถูกเวนคืนช่วงก่อนวันที่ผู้ถูกเวนคืนจะออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเวนคืน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยรับผิดชำระค่าเสียหายต่อธุรกิจของโจทก์ในช่วงก่อนวันที่โจทก์จะออกจากอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ที่ต้องเวนคืน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นจำนวน ๑๐๑,๒๖๔,๓๖๑ บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสิน ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๓๕ จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยชำระให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยชำระเงิน (เงินทดแทนเพิ่มขึ้นจากที่จำเลยวินิจฉัย) จำนวน ๔,๒๘๑,๑๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินค่าทดแทนที่ศาลให้จำเลยชำระเพิ่มขึ้น นับแต่วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ (แก่โจทก์) โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๑๐,๐๐๐ บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชำระเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นจากที่คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้น ฯ กำหนดเป็นเงินจำนวน ๒๒,๖๔๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินที่ศาลกำหนดเพิ่มขึ้นให้นั้น นับแต่วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่หากโจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนส่วนที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ฯ กำหนด (ที่ถูกส่วนที่จำเลยวินิจฉัยเพิ่มขึ้น) ให้ไปแล้วเท่าใดให้หักออกด้วย
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๓๖๕ และ ๗๗๓๓ ที่ดินทั้งสองแปลงของโจทก์ดังกล่าวมีสิ่งปลูกสร้างเป็นอาคารสูง ๔ ชั้น ซึ่งโจทก์ใช้ประกอบกิจการโรงพยาบาลหูคอจมูก กับมีอาคารพาณิชย์สูง ๓ ชั้น จำนวน ๘ คูหา และสูง ๔ ชั้น จำนวน ๔ คูหา ที่ดินทั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ดังกล่าวอยู่ในบริเวณที่ที่จะเวนคืนตาม พ.ร.ฎ. กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่เขตดุสิต เขตราชเทวี เขตปทุมวัน เขตห้วยขวาง เขตบางกะปิ เขตคลองเตย เขตประเวศ เขตบางคอแหลม และเขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๓๕ และต่อมาถูกเวนคืนตาม พ.ร.บ. เวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ – บางโคล่ และสายพญาไท – ศรีนครินทร์ ในท้องที่อำเภอปากเกร็ด อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี และเขตบางซื่อ เขตจตุจักร เขตพญาไท เขตราชเทวี เขตห้วยขวาง เขตปทุมวัน เขตบางรัก เขตสาธร เขตบางคอแหลม เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๓๕ คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้น ฯ กำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินพิพาทดังกล่าวให้แก่โจทก์ รวมเป็นเงินค่าทดแทนที่ดินทั้งสิ้น ๗๓,๔๔๐,๐๐๐ บาท สิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน ๑๕,๘๑๑,๓๒๗.๗๖ บาท และไม้ยืนต้นเป็นเงิน ๔,๒๐๐ บาท ครั้นวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๓๘ โจทก์และการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินทั้งสองแปลงของโจทก์ดังกล่าวตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ เพื่อสร้างทางพิเศษโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ ๒ สายพญาไท – ศรีนครินทร์ กรณีที่ไม่อาจตกลงกันได้ในเรื่องจำนวนเงินค่าทดแทน โจทก์ไม่พอใจในจำนวนเงินค่าทดแทนที่คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้น ฯ กำหนดเว้นแต่เงินค่าทดแทนสำหรับสิ่งปลูกสร้างและไม้ยืนต้น จึงอุทธรณ์ต่อจำเลยเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๙ เพื่อขอเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นตามมาตรา ๒๑ วรรคสุดท้าย ได้แก่ ค่าเสียหายจากอุปกรณ์ทางการแพทย์เป็นเงิน ๖๙๑,๓๖๑ บาท และค่าเสียหายต่อธุรกิจอันเนื่องมาจากรัฐประกาศเวนคืนแล้วไม่ดำเนินการทำให้โจทก์เสียโอกาสในการดำเนินงานและขยายธุรกิจ เกิดความไม่แน่นอนในการบริหารและบริการทำให้รายได้ของโจทก์ลดลงเรื่อย ๆ นับตั้งแต่ปี ๒๕๒๙ ที่เริ่มมีข่าวการเวนคืนแพร่ออกมาและประกาศในปี ๒๕๓๐ รายได้ของโจทก์ได้ลดลงเรื่อยมาจนถึงปี ๒๕๓๘ โจทก์ขอคิดเงินค่าทดแทนในส่วนนี้เป็นเงินจำนวน ๗,๖๑๐,๐๐๐ บาท จำเลยได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ฯ เพื่อพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ และจำเลยได้เห็นชอบตามที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ฯ เสนอคือให้เพิ่มเงินค่าทดแทนที่ดินทั้งสองแปลงแก่โจทก์เป็นตารางวาละ ๒๒๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มขึ้นอีก ๑๘,๐๘๐,๐๐๐ บาท และให้จ่ายเงินค่าทดแทนสำหรับความเสียหายเนื่องจากการที่ต้องออกจากอสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา ๒๑ วรรคสุดท้ายแก่โจทก์ เป็นค่าติดตั้งและรื้อถอนเครื่องใช้ในอาคารที่ถูกเวนคืนและค่าขนย้ายสิ่งของเครื่องใช้ที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกำหนดไว้เป็นเงินจำนวน ๒๗๘,๘๕๐ บาท ส่วนค่าเสียหายในการดำเนินงานและขยายธุรกิจ (จำนวน ๗,๖๑๐,๐๐๐ บาท) นั้นไม่ใช่ค่าเสียหายตามกฎหมาย จึงไม่กำหนดให้ โจทก์ไม่พอใจในคำวินิจฉัยของจำเลย จึงยื่นฟ้องจำเลย
เห็นว่า ค่าเสียหายจากอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่โจทก์อุทธรณ์ต่อจำเลยไว้นั้น อุปกรณ์ทางการแพทย์ดังกล่าวเป็นสังหาริมทรัพย์ที่โจทก์สามารถขนย้ายออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนไปใช้งานในสถานที่อื่นได้ แม้โจทก์จะนำสืบว่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ดังกล่าวไม่มีผู้ประสงค์จะซื้อ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นความเสียหายโดยตรงอันเนื่องมาจากการที่โจทก์ต้องออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเวนคืนนั้นตามความหมายของมาตรา ๒๑ วรรคสุดท้าย ส่วนค่าเสียหายต่อธุรกิจของโจทก์ตั้งแต่ปี ๒๕๒๙ ถึงปี ๒๕๓๘ อันเป็นค่าเสียหายก่อนที่โจทก์จะออกจากอสังหาริมทรัพย์ต้องเวนคืนนั้น เห็นว่า โจทก์ผู้ถูกเวนคืนจะมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนจากการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์เพียงใดนั้นจะต้องเป็นไปตามที่ พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ บัญญัติไว้ แต่ตาม พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวหาได้มีบทบัญญัติให้จ่ายเงินค่าทดแทนสำหรับความเสียหายต่อธุรกิจของผู้ถูกเวนคืนช่วงก่อนวันที่ผู้ถูกเวนคืนจะออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเวนคืนไว้ไม่ ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยรับผิดชำระค่าเสียหายส่วนนี้แก่โจทก์ได้ในช่วงก่อนวันที่โจทก์จะออกจากอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ที่ต้องเวนคืน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินค่าทดแทนที่ดินแก่โจทก์เพิ่มขึ้นจากที่จำเลยวินิจฉัยไว้อีก ๔,๑๖๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามอัตราและวันที่ศาลอุทธรณ์กำหนด นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share