คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1618/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีฆาตกรรมนั้นไม่จำเป็นต้องมีประจักษ์พยานรู้เห็นในขณะกระทำผิดเสมอไป พยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีอันมั่นคงก็เพียงพอรับฟังมาลงโทษจำเลยได้
ข้อเท็จจริงได้ความแต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 รายงานแจ้งเหตุวิสามัญฆาตกรรมโดยอ้างว่าจำเลยทั้ง 5 ยิงต่อสู้กับผู้ร้าย 5-6 คนในตอนกลางคืนซึ่งไม่ใช่ความจริง เป็นการปั้นเรื่องขึ้นเพื่อกลบเกลื่อนการฆ่าผู้ตาย เพียงเท่านี้เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับผู้ตายในตอนใดเสียเลยแล้วเช่นนี้ ศาลจะฟังแต่เพียงถ้อยคำอันไม่ใช่ความจริงของจำเลยเองมาลงโทษจำเลยในคดีเรื่องฆ่าคนตายอันมีโทษอุกฤษฎ์โดยไม่มีพยานโจทก์ยืนยันความผิดของจำเลยไม่ได้ ถือว่าโจทก์สืบไม่ได้ว่าจำเลยเหล่านี้ทำผิด

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยทั้ง 5 คนรับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอเขาไชยสน จังหวัดพัทลุง จำเลยที่ 2 ที่ 3 รับราชการประจำสถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอเขาไชยสน จังหวัดพัทลุง จำเลยที่ 4 ที่ 5 รับราชการประจำสถานีตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง ได้สมคบกันฆ่านายผอมแสงทอง ถึงแก่ความตายโดยเจตนา เหตุเกิดที่ตำบลตำนาน อำเภอเมืองจังหวัดพัทลุง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 249 – 63

นายทิม แสงทอง และนางพร้อม แสงทองบิดาและภรรยาของนายผอมขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย ศาลอนุญาต

จำเลยทั้ง 5 ปฏิเสธข้อหา

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเชื่อว่าจำเลยทั้ง 5 ได้สมคบกันยิงนายผอมตายจริงดังข้อหา จึงลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 249จำคุกจำเลยที่ 4 ที่ 5 ซึ่งเป็นต้นเรื่องก่อให้เกิดเหตุคดีนี้ขึ้นมีกำหนดคนละ 20 ปี จำเลยที่ 1, 2, 3 คนละ 15 ปี

จำเลยทั้ง 5 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้ง 5 ฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่านายผอมผู้ตายอยู่บ้านตำบลดอนมะพร้าวอำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ก่อนนี้เคยเป็นผู้ใหญ่บ้าน ระหว่าง 1 ปีเศษ ก่อนเกิดเหตุเรื่องนี้มีคดีพัวพันอยู่หลายเรื่องแต่หลักฐานไม่พอพนักงานสอบสวนสั่งไม่ฟ้อง ถูกฟ้องหาว่ายิงนายผลลูกพี่ลูกน้องของจำเลยที่ 4 แต่ศาลพิพากษาปล่อย ต่อมาถูกหาว่าฆ่านายพล้อมตาย จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับภรรยานายพล้อมได้ไปทำการจับกุมตัวนายผอม จากบ้านพร้อมกับนายผินปลัดอำเภอขณะจับจำเลยที่ 4 ได้ชักปืนจะยิงนายผอม แต่นายพินปลัดอำเภอห้ามเอาไว้ คดีเรื่องนั้นได้ฟ้องศาลและศาลพิพากษาปล่อยเช่นเดียวกันนอกจากนี้ยังถูกหาในเรื่องอื่นอีกหลายเรื่อง

ก่อนเกิดเหตุเรื่องนี้ 7-8 เดือน นายผอมได้ออกจากบ้านไปหางานทำทางจังหวัดนราธิวาส จากบ้านไปนานวัน ทางราชการเลยสั่งปลดจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน นายผอมกลับมาเยี่ยมบ้านรวม 3 คราวครั้งสุดท้ายมาค้างอยู่ 3 วัน แล้วออกจากบ้านไปเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2494 เวลา 9.00 น. ว่าจะไปค้างตำบลหารโพธิ์สัก 1 คืนต่อมาวันที่ 23 ธันวาคม 2494 ตอนเช้าปรากฏว่านายผอมถูกยิงนอนตายอยู่ข้างทางรถไฟหน้าวัดร้างบ้านวังนนท์ ตำบลตำนาน อำเภอเมืองจังหวัดพัทลุง โดยจำเลยทั้ง 5 คนนี้เป็นเจ้าพนักงานตำรวจยืนยันว่าเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2494 เวลาประมาณ 3.00 น. ได้ตรวจท้องที่ไปด้วยกันและพบคน 5-6 คนเดินมา ได้ร้องทักถามไปและบอกว่าเป็นตำรวจคนเหล่านั้นกลับใช้ปืนยิงก่อน จึงได้เกิดต่อสู้ยิงกันทั้งสองฝ่ายประมาณ 2-3 นาทีคนเหล่านั้นหนีหายไป คงปรากฏว่าเหลือนอนตายอยู่ 1 คน คือนายผอมคนนี้ มีปืนสั้นตกอยู่ที่นั่น 1 กระบอกเจ้าพนักงานได้ออกไปทำการชัณสูตรพลิกศพและสอบสวนเป็นคดีวิสามัญฆาตกรรม ฝ่ายนายทิมบิดานายผอมได้ร้องทุกข์กล่าวหาว่าตำรวจจับนายผอมไปจากบนรถไฟแล้วเอาไปยิงทิ้ง สำนวนการสอบสวนส่งมายังกรมอัยการอธิบดีกรมอัยการสั่งให้สอบสวนหลักฐานเพิ่มเติมและในที่สุดสั่งให้ฟ้องจำเลยทั้ง 5 เป็นคดีเรื่องนี้

บาดแผลของนายผอมปรากฏตามรายงานการชัณสูตรพลิกศพว่าถูกกระสุนปืนที่หน้าอก 1 แผลทลุออกทางด้านหลังถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลนั้น

โจทก์นำสืบว่าวันที่ 22 ธันวาคม 2494 ตอนบ่ายนายผอมขึ้นรถไฟที่สถานีบ้านต้นโดนเพื่อโดยสารรถไฟไปทางใต้ ระหว่างที่รถไฟแล่นไป จำเลยที่ 4 และที่ 5 ไม่ได้แต่งเครื่องแบบได้โดยสารรถไฟกระบวนนั้นไปด้วยและได้ไปแจ้งต่อพลตำรวจผาสุขซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประจำรถไฟสายกันตัง – สงขลาว่านายผอมเป็นคนร้ายต้องหาว่าฆ่าคนตายขอให้จับกุม และแสดงหมายจับตัวนายผอมให้ดูด้วยพลตำรวจผาสุขรู้จักจำเลยทั้ง 2 ว่าเป็นตำรวจประจำกองกำกับการจังหวัดพัทลุง จึงย้อนถามว่าทำไมไม่จับเองจำเลยที่ 4 ว่าไม่กล้าเพราะคนร้ายมีปืน พลตำรวจผาสุขให้จำเลยไปชี้ตัวให้ แล้วก็เข้าจับกุมตัวนายผอมใส่กุญแจมือสอบถามได้ความว่าชื่อนายผอมแสงทอง ตรงตามที่จำเลยที่ 4 แจ้งไว้ ตรวจค้นได้ปืนพกยี่ห้อเอฟ.เอ็น ในกระเป๋าเสื้อผ้าของนายผอม 1 กระบอกมีกระสุนบรรจุพร้อม พอดีรถไฟถึงสถานีเขาไชยสน เป็นเวลา 15.00 น.เศษจึงพาตัวนายผอมลงจากรถไฟ และพลตำรวจผาสุขได้เขียนบันทึกในสมุดพกประจำตัวว่า “22 ธันวาคม 2494″ ได้รับตัวผู้ต้องหาชื่อนายผอมแสงทอง พร้อมด้วยปืนขนาด 6.35 1 กระบอก” ให้จำเลยที่ 4 เซ็นชื่อเป็นผู้รับ พลตำรวจผาสุขเซ็นชื่อเป็นผู้มอบ ขณะนั้นจำเลยที่ 5 ก็อยู่ด้วย พร้อมกับจำเลยที่ 4 ต่อจากนั้นจำเลยที่ 4 และที่ 5 จะเอาตัวนายผอมไปที่ไหนทำอย่างไร ไม่มีพยานปรากฏ คงปรากฏเอาในตอนเช้าวันที่ 23 ธันวาคม 2494 ว่านายผอมถูกยิงตาย โดยจำเลยทั้ง 5 หาว่าเป็นคนร้ายยิงต่อสู้กับจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเมื่อเวลา 3.00 น. ดังกล่าวมาแล้วในตอนต้น

อนึ่ง เมื่อเจ้าพนักงานมอบศพนายผอมให้นายพิม นางพร้อมไปจัดการปลงศพตามประเพณีปรากฏว่าแผลถูกยิงรอยเข้าทางไหปลาร้าขวาทะลุออกชายโครงซ้ายตรงเอว ริมฝีปากล่างแตก ฟันหน้าหัก ปากปลิ้นพยานโจทก์เข้าใจว่าถูกตีและหัวเข้ามีรอยถลอกเลือดออก

สำหรับตัวจำเลยที่ 4 และที่ 5 ข้อเท็จจริงได้ความแน่ชัดว่าโดยสารรถไฟไปด้วยกัน ได้พากันเข้าไปหาพลตำรวจผาสุขเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมรถไฟขบวนนั้นจำเลยที่ 4 ขอให้ไปจับตัวนายผอมให้โดยอ้างว่าเป็นคนร้ายต้องหาเรื่องฆ่าคนตายตามหมายจับ พลตำรวจผาสุขจึงไปจับกุมตัวนายผอมใส่กุญแจมือ เมื่อถึงสถานีเขาไชยสนเป็นเวลา15.00 น.เศษ ก็ได้พาตัวลงจากรถไฟและมอบตัวนายผอมให้จำเลยทั้ง 2 นี้ไป จำเลยทั้ง 2 คนนี้เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ เมื่อได้รับมอบตัวผู้ต้องหาไว้แล้วก็มีหน้าที่ต้องนำไปส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ต่อไปแต่มิได้ปรากฏว่าจำเลยทั้ง 2 ได้พาตัวนายผอมไปส่งพนักงานเจ้าหน้าที่คนใดเลย แม้ทางสถานีตำรวจภูธรถึงเขาไชยสนหรือสถานีตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง นายผอมหมดความเป็นอิสสระภาพแก่ตน เพราะถูกจับใส่กุญแจโดยจำเลยทั้ง 2 เป็นคนควบคุมตัวในฐานะที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจเช่นนี้ จำเลยทั้ง 2 ก็มีหน้าที่จะต้องคุ้มครองให้ความปลอดภัยแก่เขาด้วยตามสมควร มิใช่จับตัวไปแล้วจะเอาไปทำอะไรเสียก็ได้ตามอำเภอใจ เมื่อปรากฏว่าในคืนวันนั้นเองนายผอมถูกทำร้ายและถูกยิงตายในระหว่างทางระหว่างสถานีกิ่งเขาไชยสนกับสถานีพัทลุง โดยจำเลยทั้ง 2 ปฏิเสธสิ้นเชิงในเรื่องการจับกุมตัวนายผอมและกลับปั้นเรื่องใหม่อันมิใช่ความจริงทั้งเรื่องอ้างว่าได้ยิงต่อสู้กับคนร้าย 5 คนแล้วปรากฏว่าคนร้ายถูกยิงตายไปคนหนึ่งคือนายผอม ซึ่งความจริงนายผอมถูกจำเลยทั้ง 2 ควบคุมเอาตัวมากุญแจมือที่ใส่ไว้ก็ไม่มีดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าคดีไม่มีทางที่จะให้วินิจฉัยเป็นอื่นนอกจากจำเลยทั้ง 2 ได้ควบคุมตัวนายผอมมาทำร้ายและยิงเสียในระหว่างทางแล้วจึงปั้นเรื่องขึ้นใหม่ให้เป็นเรื่องวิสามัญฆาตกรรม เพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตนเท่านั้น

คดีสำหรับตัวจำเลยที่ 1, 2, 3 โจทก์มีนางผองปากเดียวอ้างว่าเห็นตำรวจ 4 คนยืนคุมตัวนายผอมอยู่ที่ชานชลาสถานีเขาไชยสนพยานรู้จักจำเลยที่ 5 คนเดียวและชี้ตัวจำเลยที่ 2, 3 และที่ 4 ด้วยรวมเป็น 4 คนด้วยกัน แต่พยานยืนยันว่าจำเลยทั้ง 4 คนแต่งเครื่องแบบทุกคนในขณะนั้น ซึ่งแตกต่างขัดกับถ้อยคำพยานโจทก์ปากอื่นเป็นอันมากเพราะพยานโจทก์ปากอื่นเช่นพลตำรวจผาสุขและนายไข่เบิกความยืนยันเฉพาะตัวจำเลยที่ 4, 5 เท่านั้นที่เกี่ยวข้องในการจับกุมตัวนายผอมและรับมอบตัวไป ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2, 3 อยู่ ณ ที่นั้นหรือเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยประการใด และจำเลยที่ 4 กับจำเลยที่ 5 ก็มิได้แต่งเครื่องแบบด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าคำให้การของนางผองปากนี้ให้การเกินความจริงมากไป จึงไม่รับฟังและมิได้วินิจฉัยถึงพยานปากนี้มาตั้งแต่ตอนต้นนั้นแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้โจทก์จึงไม่มีพยานแสดงเลยว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 3 ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในการจับกุมตัวนายผอมทั้งในตอนแรกหรือในตอนหลัง เมื่อจำเลยที่ 4, 5 ได้รับมอบตัวมาจากพลตำรวจผาสุขแล้วก็ดี และไม่มีพยานแสดงว่าจำเลยที่ 4, 5 ได้พาตัวนายผอมไปที่สถานีตำรวจภูธรกิ่งเขาไชยสนหรือพาไปที่แห่งใดหรือได้พาไปพบปะกับจำเลยที่ 1, 2, 3 ณ ที่ใดหรือไม่ประการใด จำเลยทั้ง 3 นี้นำสืบว่าได้ออกเดินทางจากสถานีตำรวจภูธรกิ่งเขาไชยสนไปแล้วตั้งแต่เวลา14.00 น. ก่อนการจับกุมตัวนายผอมที่บนรถไฟนั้นเสียอีกโจทก์คงมีพยานยืนยันเอาในตอนเช้าของวันที่ 23 ธันวาคม 2494 เท่านั้นว่าจำเลยที่ 1 ไปรายงานเหตุวิสามัญฆาตกรรมโดยอ้างว่าจำเลยทั้ง 5 คนได้ยิงต่อสู้กับผู้ร้าย 5-6 คนในตอนกลางคืน ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้นว่าการกล่าวอ้างเรื่องวิสามัญฆาตกรรมของจำเลยทั้ง 5 คนนี้ไม่ใช่ความจริง เป็นการปั้นเรื่องขึ้นเพื่อกลบเกลื่อนความผิดในฐานฆ่าคนตายของจำเลยที่ 4 ที่ 5 เท่านั้นเมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอันใดยืนยันว่าจำเลยที่ 1, 2, 3ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวนายผอมในตอนใดเสียเลยแล้วเช่นนี้เรื่องก็อาจเป็นได้ว่าจำเลยที่ 1, 2, 3 เป็นเพียงแต่รับสมอ้างเข้ามาช่วยเหลือจำเลยที่ 4, 5 เพื่อให้เรื่องกลายเป็นวิสามัญฆาตรกรรมขึ้นมาในภายหลังเมื่อจำเลยที่ 4, 5 ได้กระทำผิดไปแล้วก็ได้ศาลจะฟังแต่เพียงถ้อยคำอันไม่ใช่ความจริงของจำเลยเองมาลงโทษจำเลยในคดีนี้โดยไม่มีพยานโจทก์ยืนยันความผิดของจำเลยทั้ง 3 นี้เลยไม่ได้ กรณีของจำเลยทั้ง 3 นี้แตกต่างกับการกระทำของจำเลยที่ 4, 5 มากมาย ศาลฎีกาจึงเห็นว่า โจทก์ยังนำสืบความผิดของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ได้ว่าได้สมคบกับจำเลยที่ 4, 5 ในการฆาตรกรรมรายนี้

เหตุนี้ ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เฉพาะตัวจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เป็นให้ยกฟ้องของโจทก์ปล่อยจำเลยทั้ง 3 คนนี้ไปนอกจากที่แก้ไขนี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share