คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4587/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายเต็มใจไปกับจำเลย หลังจากที่จำเลยพาผู้เสียหายไปแล้ว ญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงจัดงานพิธีให้ผู้เสียหายและจำเลยแต่งงานกันและมีการมอบค่าสินสอดของหมั้นให้ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายผู้เสียหายรับไปแล้วบางส่วน เมื่อจำเลยพาผู้เสียหายกลับมาถึงบ้าน ฝ่ายญาติผู้ใหญ่ของผู้เสียหายได้จัดพิธีบอกผีบ้านผีเรือนตามประเพณีก่อนให้ผู้เสียหายเข้าบ้านพฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่า ที่จำเลยพาผู้เสียหายไปนั้นมีเจตนาที่จะพาไปเป็นภรรยาตั้งแต่แรก เพราะไม่ได้ความว่าจำเลยมีภรรยาอยู่ก่อนแล้ว ดังนี้ การทีจำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อเป็นภรรยา แม้ผู้เสียหายจะยังเป็นผู้เยาว์อยู่ก็ไม่เป็นการละเมิดต่ออำนาจปกครองของมารดาและแม้จำเลยจะร่วมประเวณีกับผู้เสียหายระหว่างที่พักอยู่ด้วยกันก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา318 วรรคแรก และวรรคท้าย จำคุก 3 ปี คำให้การจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คำจำคุก 2 ปี 3 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบรับกันฟังได้ว่าจำเลยกับผู้เสียหายไปเที่ยวดูลิเกด้วยกัน แต่ตอนขากลับแทนที่จำเลยจะพาผู้เสียหายไปส่งบ้านกลับพาผู้เสียหายซึ่งยังเป็นผู้เยาว์อยู่ในปกครองของมารดาไปพักค้างแรมกับจำเลยหลายแห่งเป็นเวลาหลายวัน ในระหว่างพักค้างแรมอยู่ด้วยกัน จำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายด้วย คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า ที่จำเลยพาผู้เสียหายไปดังกล่าวจะมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามฟ้องหรือไม่พยานโจทก์คือผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า จำเลยพาไปโดยผู้เสียหายไม่เต็มใจไปด้วย โดยมีรายละเอียดเป็นสำคัญว่า ก่อนที่จำเลยจะพาผู้เสียหายกลับไปส่งบ้าน จำเลยพาผู้เสียหายไปพักที่บ้านนางแก้ว เนาวกูล น้าของจำเลย 1 คืน รุ่งขึ้นพาย้ายไปพักที่ห้างซึ่งอยู่ในไร่อีก 2 คืน จากนั้นพาย้ายไปพักที่บ้านนายดอนน้าของจำเลยอีกประมาณ 2 คืน สุดท้ายพากลับไปพักที่บ้านกำนันอุ๊ดอีก 1 คืน พิเคราะห์คำเบิกความของผู้เสียหายแล้ว ที่ผู้เสียหายว่าไม่เต็มใจไปกับจำเลยนั้น ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่าที่ไปพักที่บ้านนางแก้ว ในคืนแรกนั้นเมื่อไปถึงที่บ้านดังกล่าวยังสร้างไม่เสร็จไม่มีคนอยู่ จำเลยได้ไปเอาเครื่องนอนที่บ้านอีกหลังหนึ่งของนางแก้ว โดยให้ผู้เสียหายรออยู่ที่บ้านดังกล่าวเห็นว่า ระหว่างที่ผู้เสียหายรออยู่นั้น ถ้าผู้เสียหายไม่เต็มใจไปกับจำเลย ผู้เสียหายย่อมมีโอกาสหลบหนีไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านแถบนั้นได้ หากจะฟังว่าผู้เสียหายกลัวไม่กล้าหลบหนีเพราะขณะนั้นเป็นเวลาค่ำคืน แต่ก็ยังได้ความจากผู้เสียหายอีกว่าตอนที่ย้ายจากบ้านนายดอนเพื่อกลับบ้าน ระหว่างทางมารดาจำเลยและจำเลยได้พาผู้เสียหายแวะที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอทัพทัน จากนั้นก็พาผู้เสียหายไปพักที่บ้านกำนันอู๊ด เห็นว่า ตอนแวะที่สถานีตำรวจก็ดีและตอนที่พักที่บ้านกำนันอุ๊ดก็ดี หากผู้เสียหายไม่เต็มใจไปกับจำเลยและประสงค์จะแยกไปเสียจากจำเลยผู้เสียหายย่อมมีโอกาสทำได้ โดยแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจหรือกำนันอู๊ด แต่ผู้เสียหายก็หาได้แจ้งไม่ โดยไม่มีเหตุผลมาสนับสนุนว่าเหตุใดจึงไม่แจ้งประกอบกับตลอดเวลาที่พักอยู่กับจำเลย ไม่ได้ความว่าถูกจำเลยกักขังหรือควบคุม แต่กลับส่อแสดงว่าผู้เสียหายอยู่อย่างอิสระ พฤติการณ์ของผู้เสียหายดังกล่าววนอกจากจะผิดปกติวิสัยของผู้ที่อ้างว่าไม่เต็มใจไปกับจำเลยแล้วยังเจือสมกับคำเบิกความของจำเลยที่ว่า ผู้เสียหายตกลงหนีไปอยู่กับจำเลยเพราะต่างรักใคร่ชอบพอกันฉันชู้สาวมาก่อนอีกด้วย ดังนี้ ไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายไม่เต็มใจไปกับจำเลยดังที่ผู้เสียหายเบิกความ แต่เชื่อว่าผู้เสียหายเต็มใจหนีไปกับจำเลยเพราะมีความรักใคร่กันฉันชู้สาวมาก่อน ปัญหาต่อไปมีว่า ที่จำเลยพาผู้เสียหายไปดังกล่าวเป็นการพาไปเพื่อการอนาจารหรือไม่เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้เสียหายเต็มใจไปกับจำเลยดังไว้วินิจฉัยแล้วข้างต้น ประกอบกับโจทก์และจำเลยก็นำสืบรับกันว่า หลังจากที่จำเลยพาผู้เสียหายไปแล้วญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงจัดงานพิธีให้ผู้เสียหายและจำเลยแต่งงานกัน ได้มีการกำหนดวันแต่งงานและมอบค่าสินสอดของหมั้นให้ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายผู้เสียหายรับไปแล้วบางส่วนเป็นเงิน 5,000 บาท เมื่อจำเลยพาผู้เสียหายกลับมาถึงบ้านก็ได้ความว่า ฝ่ายญาติผู้ใหญ่ของผู้เสียหายได้จัดพิธีบอกผีบ้านผีเรือนตามประเพณีก่อนให้ผู้เสียหายเข้าบ้าน พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่า ที่จำเลยพาผู้เสียหายไปนั้นมีเจตนาที่จะพาไปเป็นภรรยาตั้งแต่แรก เพราะไม่ได้ความว่าจำเลยมีภรรยาอยู่ก่อนแล้วดังนี้ การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อเป็นภรรยา แม้ผู้เสียหายจะยังเป็นผู้เยาว์อยู่ก็ไม่เป็นการละเมิดต่ออำนาจปกครองของมารดาและแม้จำเลยจะร่วมประเวณีกับผู้เสียหายระหว่างที่พักอยู่ด้วยกันก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารดังที่โจทก์ฟ้อง”
พิพากษายืน

Share