คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9359/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นนิติบุคคลตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และเป็นเจ้าของที่ดินธรณีสงฆ์ที่พิพาท จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์บางส่วนเพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัย เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาและให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยมิได้ปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท เท่ากับจำเลยยอมรับอำนาจการจัดการที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์ที่เช่าของโจทก์มาตั้งแต่แรก เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าที่ดินต่อไป จำเลยยังคงครอบครองและไม่ยอมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
การฟ้องคดีเพื่อขับไล่ผู้ที่อยู่ในที่ดินของวัดโจทก์ไม่ได้อยู่ในบังคับที่จะต้องให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 40 เพราะบทบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีหน้าที่ดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติกลางได้แก่ทรัพย์สินของพระศาสนาซึ่งมิใช่ของวัดใดวัดหนึ่งเท่านั้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรวมทั้งบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 320 ถนนเทศบาลสาย 1 แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินของโจทก์ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย และให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างชำระจำนวน 53,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์แล้วเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 320 ถนนเทศบาลสาย 1 แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร รวมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2552 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์แล้วเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาทแทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจจัดการที่ดินของวัดหรือศาสนสมบัติของวัดด้วยตนเอง การฟ้องคดีนี้จึงต้องดำเนินการโดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเท่านั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินธรณีสงฆ์โฉนดเลขที่ 3546 ตำบลวัดกัลยาณ์ (บางกอกใหญ่ฝั่งใต้) อำเภอธนบุรี (บางกอกใหญ่) กรุงเทพมหานคร โดยเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2548 จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์บางส่วนเพื่อปลูกบ้านเลขที่ 320 ถนนเทศบาลสาย 1 แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร เป็นที่อยู่อาศัย ระยะเวลาตามสัญญาเช่าสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2549 เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลงโจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยและยังคงอยู่ในที่ดินดังกล่าวตลอดมา โดยจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่าโจทก์มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท เท่ากับจำเลยยอมรับในอำนาจจัดการที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์ที่เช่าของโจทก์มาตั้งแต่แรก เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลงและโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวต่อไป แต่จำเลยยังคงครอบครองและไม่ยอมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท จึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ ซึ่งการฟ้องคดีเพื่อขับไล่ผู้ที่อยู่ในที่ดินของวัดโจทก์ไม่ได้อยู่ในบังคับที่จะต้องให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 40 ดังที่จำเลยกล่าวอ้างเนื่องจากตามบทบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติกลางได้แก่ทรัพย์สินของพระศาสนาซึ่งมิใช่ของวัดใดวัดหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น จำเลยจะโต้เถียงปฏิเสธอำนาจฟ้องของโจทก์โดยอ้างว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจจัดการของสำนักงานพระพุทธ ศาสนาแห่งชาติหาได้ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share