แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษ 10 กระทง กระทงละ 2 ปี เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก
จำเลยปลอมลายมือชื่อของผู้จัดการธนาคารเป็นผู้อาวัลลงในเช็ค แม้เช็คนั้นมีรายการครบถ้วนตามกฎหมายแล้วก็เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารที่เป็นตั๋วเงิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 (4)
จำเลยปลอมลายมือชื่อของผู้จัดการธนาคารที่ด้านหลังเช็คทั้งสอบฉบับในคราวเดียวกัน การปลอมลายมือชื่อดังกล่าวในแต่ละฉบับเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารแยกออกจากกันได้ทั้งจำเลยกระทำโดยมีเจตนานำเช็คที่มีลายมือชื่อปลอมนั้นไปหลอกขายให้แก่บุคคลอื่น ซึ่งจำเลยก็สามารถหลอกขายเช็คให้แก่บุคคลอื่นเป็นรายฉบับไป จึงเป็นความผิดต่างกรรมกันจำนวน 10 กระทง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันปลอมเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาบางกระบือ จำนวน ๑๐ ฉบับ อันเป็นความผิด ๑๐ กรรมต่างกัน โดยลงลายมือชื่อนายประสิทธิ์ จงวัฒนากุล ผู้จัดการธนาคารดังกล่าวปลอมลงที่ด้านหลังของเช็คทั้งสองฉบับดังกล่าวมอบให้จำเลยที่ ๑ ใช้สั่งจ่ายชำระหนี้ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเช็คที่นายประสิทธิรับอาวัลโดยถูกต้องสามารถเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็ค ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด นายประสิทธิ์และประชาชน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕, ๓๖๖, ๓๒, ๘๓, ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๓๖ มาตรา ๔ และริบของกลาง
จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพ แต่ขอแก้ไขคำให้การว่าเป็นความผิดกรรมเดียว
จำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๖ (๔) จำคุกคนละ ๗ ปี ลดโทษให้จำเลยที่ ๑ กึ่งหนึ่ง จำเลยที่ ๒ หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๓ ปี ๖ เดือน จำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๔ ปี ๘ เดือน ริบเช็คของกลาง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยทั้งสองกระทงละ ๒ ปี ๑๐ กระทง รวมจำคุกคนละ ๒๐ ปี ลดโทษให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้ ๑๐ ปี จำคุกจำเลยที่ ๒ ไว้ ๑๓ ปี ๔ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายบท ให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยทั้งสอง ๑๐ กระทง กระทงละ ๒ ปี เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองกระทงละไม่เกิน ๕ ปี คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ วรรแรก การที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาขอให้รอการลงโทษจำเลยที่ ๒ เป็นฎีกาดุลพินิจของศาลซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาว่า การที่จำเลยที่ ๒ ร่วมกันปลอมลายมือชื่อผู้รับอาวัลในเช็คเอกสารหมาย จ.๒ ถึง จ.๑๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๖ (๔) หรือไม่ เห็นว่าเช็คตามเอกสารหมาย จ.๒ ถึง จ.๑๑ เป็นเช็คที่จำเลยที่ ๑ ได้มาจากการเปิดบัญชีกระแสรายวันกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาบางกระบือ โดยถูกต้อง จึงเป็นเช็คที่สามารถสั่งจ่ายเงินได้โดยชอบด้วยกฎหมาย และเช็คทั้งสิบฉบับมีรายการครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว การที่จำเลยที่ ๓ ร่วมปลอมลายมือชื่อของนายประสิทธิ์เป็นผู้รับอาวัลเช็คก็เพื่อให้เช็คทั้งสิบฉบับเป็นที่น่าเชื่อถือยิ่งขึ้นเท่านั้น หาใช่เป็นเช็คที่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วนตามกฎหมายตามที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาไม่ เช็คหมาย จ.๒ ถึง จ.๑๑ จึงเป็นตั๋วเงิน จำเลยที่ ๒ จึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารที่เป็นตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๖ (๔)
ปัญหาว่า การกระทำของจำเลยที่ ๒ เป็นความผิดกระทงเดียวหรือ ๑๐ กระทง เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๒ ปลอมลายมือชื่อของนายประสิทธิ์ที่ด้านหลังเช็คทั้งสิบฉบับในคราวเดียวกัน การปลอมลายมือชื่อดังกล่าวในแต่ละฉบับเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารแยกออกจากกันได้ ตามพฤติการณ์แห่งคดี จำเลยที่ ๒ กระทำโดยมีเจตนานำเช็คที่มีลายมือชื่อปลอมนั้นไปหลอกขายลดให้แก่บุคคลอื่น ซึ่งจำเลยที่ ๒ ก็สามารถหลอกขายเช็คให้แก่บุคคลอื่นเป็นรายฉบับไป ซึ่งเป็นความผิดต่างกรรมกัน การปลอมลายมือชื่อในเช็ค ๑๐ ฉบับดังกล่าวจึงเป็นความผิด ๑๐ กระทง
พิพากษายืน