คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5283/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พฤติการณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยตามที่ปรากฏในคำฟ้องและเอกสารท้ายฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยทำสัญญา จะซื้อขายที่ดินพิพาท มิใช่เรื่องเช่าทรัพย์สิน แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าโจทก์เช่านาจากจำเลย ก็ไม่มีผลเป็นการเช่าที่พิพาท เมื่อโจทก์มิใช่ผู้เช่าที่ดินพิพาท จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 53, 54 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๒ โจทก์ได้เช่าที่นาเนื้อที่ ๑๘ ไร่ จากจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ จำเลยที่ ๑ คิดค่าเช่าจากโจทก์เพียง ๔ ไร่ ส่วนอีก ๑๔ ไร่ จำเลยที่ ๑ให้โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยที่ ๑ โดยผ่อนชำระกับธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขากำแพงแสน ซึ่งจำเลยที่ ๑ จำนองที่ดินดังกล่าวไว้ โจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาทุกประการ ต่อมาวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ จำเลยที่ ๑ได้โอนขายที่ดินส่วนที่โจทก์เช่าทำนาอยู่ ๑๘ ไร่ ให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยที่จำเลยทั้งสองมิได้แจ้งให้ประธานกรรมการตำบลกับโจทก์ผู้เช่านาทราบ จึงเป็นการซื้อขายที่ไม่ชอบ โจทก์มีสิทธิที่จะซื้อนาคืนจากจำเลยที่ ๒ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน ๒๔,๘๘๔.๙๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ต่อปีของต้นเงิน ๒๑,๐๘๘.๙๔ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ ขายที่ดินทางทิศใต้จำนวน ๑๔ ไร่ของโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๑๓๑๖ ตำบลบัวปากท่า อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐมในราคา ๒๘,๙๑๑ บาท แก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๒ ไม่ปฏิบัติตาม ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๒
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองโจทก์ไม่ยอมชำระดอกเบี้ยและเงินต้นให้แก่ธนาคารแทนจำเลยที่ ๑ตามที่ตกลง เป็นการผิดนัดกับทางธนาคาร ย่อมถือได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะซื้อที่ดินนาจากจำเลยที่ ๑ อีก โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะซื้อที่ดินที่เช่าจากจำเลยที่ ๑ ก่อนที่จำเลยที่ ๑ จะขายที่ดินจำเลยที่ ๑ ได้บอกให้โจทก์ทราบแล้ว แต่โจทก์ไม่ประสงค์ที่จะซื้อที่ดินที่เช่าจากจำเลยที่ ๑ ต่อไป จำเลยที่ ๑ ขายที่ดินดังกล่าวไม่เป็นความจำนองจะซื้อที่นาจากจำเลยที่ ๑ แต่ไม่ยอมชำระเงินภายในกำหนดเวลาที่ตกลงกับจำเลยที่ ๑ ไว้ จึงถือว่าโจทก์หมดสิทธิที่จะซื้อที่ดินที่เช่าจากจำเลยที่ ๑ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องโจทก์ประกอบกับเอกสารท้ายฟ้องมีใจความสำคัญว่าจำเลยที่ ๑ คิดค่าเช่าจากโจทก์เพียง ๔ ไร่ ส่วนอีก ๑๔ ไร่ จำเลยที่ ๑ ให้โจทก์ชำระหนี้แทนโดยผ่อนชำระกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขากำแพงแสน เมื่อโจทก์ชำระเงินครบ๕๐,๐๐๐ บาท แล้ว จำเลยที่ ๑ จะโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์อันเป็นลักษณะโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกันตามคำฟ้องโจทก์และเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าว ไม่ได้กล่าวถึงการได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าชั่วระยะเวลาอันมีจำกัด ทั้งไม่ได้กำหนดราคาค่าเช่ากันแต่อย่างใด อันจะฟังว่าเป็นการเช่าที่ดินพิพาทแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องในตอนแรกว่าโจทก์เช่าที่ดินทำนาจากจำเลยที่ ๑ ทั้ง ๑๘ ไร่ ก็ไม่เป็นผลทำให้ที่ดินพิพาท ๑๔ ไร่ เป็นการเช่าไปได้ พฤติการณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามที่ปรากฎในคำฟ้องเป็นเรื่องตกลงจะซื้อขายที่ดินพิพาทจำนวน ๑๔ ไร่ กันมากกว่าหาได้มีเจตนาเช่าที่ดินพิพาทกันไม่ โจทก์มิใช่ผู้เช่าที่ดินตามฟ้องจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ มาตรา ๕๓, ๕๔ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นฟ้องด้วยในผลฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share