คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3046/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อเอกสารที่ใช้ในการวินิจฉัยคดีรวมอยู่ในสำนวนคดีที่จำเลยระบุอ้างเป็นพยานเอกสารนั้นจึงเข้าสู่สำนวนความของศาลโดยถูกต้อง การที่ศาลจะฟังและเชื่อพยานหลักฐานในส่วนไหนอย่างไรในสำนวนเป็นดุลพินิจของศาล ไม่จำเป็นว่าคู่ความที่ได้รับประโยชน์จากเอกสารนั้นจะต้องเป็นฝ่ายระบุอ้างและนำเข้าสู่สำนวนความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ว่าจ้างให้โจทก์ทาสีโรงฝึกงานของโรงเรียนพะตงประธานคีรีวัฒน์ โจทก์ทำงานเสร็จเรียบร้อย แต่จำเลยไม่ชำระค่าจ้าง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๑๗,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยว่าจ้างโจทก์ให้ทาสีโรงฝึกงานของโรงเรียนพะตงประธานคีรีวัฒน์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๑๗,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังเอกสารหมาย จ.๕ ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๘๖/๒๕๒๘ ของศาลชั้นต้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์ทราบดีว่าโจทก์มีเอกสารหมาย จ.๕ ไว้ในครอบครองของโจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้ระบุอ้างพยานเอกสารดังกล่าวนี้ไว้ในบัญชีระบุพยานของโจทก์ในคดีนี้ เป็นการเอาเปรียบจำเลย ศาลล่างทั้งสองรับฟังเอกสารดังกล่าวจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า จำเลยเป็นผู้ระบุอ้างสำนวนคดีแพ่งดังกล่าวพร้อมทั้งสรรพเอกสารในสำนวนเป็นพยาน ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้นำสำนวนคดีแพ่งดังกล่าวรวมไว้พิจารณาในคดีนี้แล้ว ดังนั้นเอกสารหมาย จ.๕ จึงเข้าสู่สำนวนของศาลโดยถูกต้อง การที่ศาลล่างทั้งสองจะฟังและเชื่อพยานหลักฐานในส่วนไหนอย่างไรในสำนวนเป็นดุลพินิจของศาลโดยไม่จำเป็นว่าเอกสารดังกล่าวโจทก์จะต้องเป็นฝ่ายระบุอ้างและนำเข้าสู่สำนวน ถือว่าเป็นการรับฟังจากพยานหลักฐานของคู่ความในสำนวนนั่นเอง
พิพากษายืน

Share