คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1722/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันถัดมาว่าอนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลาอุทธรณ์แต่น้อยกว่าระยะเวลาที่โจทก์ขอ แม้ท้ายคำร้องของโจทก์จะมีหมายเหตุข้อความว่าข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งในวันเดียวกันกับที่โจทก์ยื่นคำร้อง ศาลชั้นต้นจึงมีหน้าที่ต้องแจ้งคำสั่งให้โจทก์ทราบ เมื่อไม่ได้มีการแจ้งคำสั่งของศาลชั้นต้นให้โจทก์ทราบ จะถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วมิได้ การที่โจทก์ไม่ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์น้อยกว่าที่โจทก์ขอจึงมิใช่เป็นความผิดของโจทก์ หากแต่เหตุเกิดจากความบกพร่องของศาลชั้นต้นเองที่ไม่ดำเนินการแจ้งคำสั่งศาลให้โจทก์ทราบ กรณีดังกล่าวจึงนับว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ตามคำร้องขอครั้งที่สองได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งหกร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้คำนวณตามทุนทรัพย์เท่าที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๒๐,๐๐๐ บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ครบกำหนดอุทธรณ์วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๒ ในวันดังกล่าวทนายโจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำพิพากษา เนื่องด้วยคดีมีทุนทรัพย์สูง จึงขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เป็นเวลา ๑๕ วัน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๒ ว่า อนุญาตถึงวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ ต่อมาวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์อีก ๑๕ วัน โดยอ้างว่าเพิ่งได้รับสำเนาคำพิพากษาและคดีมีทุนทรัพย์สูง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเป็นการยื่นคำร้องล่วงเลยระยะเวลาที่ขยายให้ครั้งแรกและมิใช่เหตุสุดวิสัย ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ท้ายคำร้องของโจทก์จะมีหมายเหตุข้อความว่า ข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว แต่เมื่อศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งในวันเดียวกันกับที่โจทก์ยื่นคำร้อง ศาลชั้นต้นจึงมีหน้าที่ต้องแจ้งคำสั่งให้โจทก์ทราบ ข้อเท็จจริงได้ความว่าไม่ได้มีการแจ้งคำสั่งของศาลชั้นต้นให้โจทก์ทราบแต่อย่างใด จึงถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วมิได้ การที่โจทก์มายื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่สองอีก ๑๕ วัน ในวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ แสดงว่าโจทก์เข้าใจว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งแรกตามขอ เมื่อโจทก์ไม่ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ถึงวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ โดยที่มิได้เป็นความผิดของโจทก์ หากแต่เหตุเกิดจากความบกพร่องของศาลชั้นต้นเองที่ไม่ดำเนินการแจ้งคำสั่งศาลให้โจทก์ทราบ กรณีดังกล่าวจึงนับว่าเป็นเหตุสุดวิสัย เพราะเมื่อโจทก์ไม่ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งแรกเพียงวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ โจทก์ก็ย่อมไม่อาจยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่สองก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่สองอีก ๑๕ วัน โดยอ้างว่าโจทก์ยื่นคำร้องล่วงเลยระยะเวลาที่ขยายให้ครั้งแรกและกรณีมิใช่เหตุสุดวิสัยไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ ลงวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๕ อนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลาอุทธรณ์มีกำหนด ๑๕ วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษา แล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไปตามกฎหมาย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.

Share