คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3303/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่ให้เช่าและเรียกค่าเสียหาย ไม่มีกฎหมายใดบังคับให้ต้องแนบสัญญาเช่าเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดมาพร้อมกับฟ้อง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 บังคับแต่เพียงว่าในการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ถ้าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้เท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำฟ้องของโจทก์ซึ่งฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยไม่แนบสัญญาเช่ามาพร้อมกับฟ้อง จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18
การฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ผู้เช่ายังคงอยู่ในที่เช่าต่อมาหลังจากสัญญาเช่าระงับแล้ว มิใช่เป็นการฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าโจทก์จึงนำพยานบุคคลมาสืบได้ว่าโจทก์จำเลยตกลงขึ้นค่าเช่ากันจากที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่า เพื่อให้ศาลกำหนดเป็นค่าเสียหายให้โจทก์ตามจำนวนดังกล่าวได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 แต่ประการใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นอาคารคอนกรีต จำเลยได้ทำสัญญาเช่าอาคารดังกล่าวจากโจทก์โดยไม่มีกำหนดเวลา กำหนดชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ต่อมาจำเลยไม่ชำระค่าเช่าให้โจทก์ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ ชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายรวมเป็นเงิน ๔๑๕,๓๓๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหายเป็นรายเดือน เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือ จำเลยไม่เคยค้างชำระค่าเช่า โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าค่าเสียหายไม่ควรเกินเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและอาคารตึกสามชั้นเลขที่ ๑๔๔ ถนนสุทธิสาร แขวงสามเสนใน เขตพญาไทกรุงเทพมหานคร ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างชำระจำนวน ๒๗๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ นับแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๒๖ ไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากอาคารของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่โดยจำเลยเห็นว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญมาแสดงพร้อมฟ้อง จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ควรรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา ควรยกฟ้อง เห็นว่าในการฟ้องร้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่ให้เช่ารวมทั้งเรียกค่าเสียหายด้วยก็ตาม ไม่มีบทกฎหมายใดบังคับให้แนบหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญแนบมาพร้อมกับฟ้อง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๘ บังคับแต่เพียงว่า ในการเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นถ้าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญจะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้เท่านั้น ซึ่งปัญหาที่ว่าการเช่ามีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อ ฝ่ายผู้ต้องรับผิดหรือไม่ย่อมสามารถจะนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘ แต่ประการใด สำหรับฎีกาของจำเลยในประเด็นค่าเสียหาย ที่จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท โดยฟังว่าเช่ากันเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท เป็นการเชื่อโดยขัดกับเอกสารสัญญาเช่าซึ่งกำหนดค่าเช่ากันเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท และกฎหมายก็ห้ามสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจะฟังว่าเช่ากันเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ไม่ได้ต้องห้ามตามกฎหมายนั้น เห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ซึ่งเป็นคนละเรื่องต่างหากจากสัญญาเช่าหรืออีกนัยหนึ่งมิใช่ฟ้องบังคับตามสัญญาเช่า โจทก์จึงนำพยานบุคคลมาสืบได้ว่า โจทก์จำเลยตกลงกันขึ้นค่าเช่าเป็นเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาทไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ แต่ประการใด
พิพากษายืน.

Share