คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6352/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์เป็นหนี้จำเลยที่ 1 จำนวนหนึ่ง จึงมอบ น.ส.3ของที่ดินพิพาทและลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1ยึดถือไว้ แต่ก็ได้แสดงความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและไม่เคยมอบอำนาจให้ผู้ใดขายที่ดินพิพาท การที่มีการกรอกข้อความในหนังสือ มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3จึงเป็นการกรอกข้อความโดยปราศจากอำนาจและเป็นเอกสารปลอม ต้องถือว่านิติกรรมซื้อขายมิได้เกิดขึ้น สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ยังเป็นของโจทก์ประกอบกับสามีจำเลยที่ 1 เป็นพี่เขย ของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 เป็นสามีของจำเลยที่ 3 ย่อม รู้ว่าโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้ขายที่ดินพิพาท ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 รับโอนที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริตจึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 110/12, 111/12 และ 112/12จำเลยที่ 1 ได้ขอยืมหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินทั้ง 3ฉบับดังกล่าวเพื่อไปจำนำเป็นหลักประกันเงินยืมของบุคคลอื่นโดยจำเลยที่ 1 ได้นำหนังสือมอบอำนาจซึ่งยังไม่ได้มีการกรอกข้อความมาให้โจทก์ลงลายมือชื่อ ต่อมาโจทก์ได้ทราบว่าจำเลยที่ 2 ได้กรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวและโอนขายที่ดินทั้ง 3 แปลงให้แก่จำเลยที่ 3 แทนโจทก์ซึ่งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็ทราบว่าจำเลยที่ 1 ยืมหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินทั้ง 3 ฉบับไปจากโจทก์ขอให้พิพากษาว่า นิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นโมฆะ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 110/12, 111/12 และ 112/12ระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 และเพิกถอนชื่อจำเลยที่ 3 ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินทั้ง 3 ฉบับ แล้วให้จำเลยที่ 3 จดทะเบียนโอนสิทธิตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่โจทก์โดยให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าธรรมเนียมการโอน หากจำเลยที่ 3 ไม่ยอมจดทะเบียนโอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาหากจำเลยที่ 3 ไม่สามารถโอนได้ไม่ว่าด้วยเหตุใดให้จำเลยทั้งสามหรือจำเลยที่ 3 ชำระเงินจำนวน 335,445 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากเงินต้น 300,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ต้องการจะขายที่ดินทั้ง 3 แปลงดังกล่าว ตีใช้หนี้แก่จำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมซื้อเนื่องจากจำเลยที่ 1 มีที่ดินอยู่เป็นจำนวนมากแล้ว โจทก์จึงเปลี่ยนใจจะขายที่ดินทั้ง 3 แปลงให้แก่นางสมควรไม่ทราบชื่อสกุล แต่เอกสารต่าง ๆ ไม่พร้อม ต่อมาโจทก์ได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ 3 ฉบับพร้อมหนังสือมอบอำนาจ 1 ฉบับ ซึ่งโจทก์จัดหามาเองและลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจด้วยความสมัครใจมอบให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อนำไปมอบให้แก่นางสมควรเนื่องจากโจทก์อ้างว่ามีธุระไปหานางสมควรไม่ได้ จำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมกันหลอกลวงโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่าโจทก์ได้กรอกข้อความต่าง ๆในหนังสือมอบอำนาจตามความประสงค์ของโจทก์ในการตกลงขายที่ดิน และจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ดำเนินการจดทะเบียนโอนตามความประสงค์ของโจทก์และได้ชำระเงินครบถ้วนแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อปี2526 โจทก์เป็นหนี้จำเลยที่ 1 จำนวนหนึ่งจึงได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ของที่ดินพิพาท จำนวน 3 ฉบับ ตามเอกสารหมาย จ.3 จ.4 และ จ.5 ให้จำเลยที่ 1 และลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.7 ให้จำเลยที่ 1ยึดถือไว้ ต่อมาเดือนมิถุนายน 2535 โจทก์ไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินอำเภอเมืองลพบุรีปรากฏหลักฐานว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้ง 3 แปลงให้แก่จำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2534 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์ได้มอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.7ให้จำเลยที่ 2 ขายที่ดินพิพาททั้ง 3 แปลงให้แก่จำเลยที่ 3 หรือไม่เห็นว่าคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ไม่อาจรับฟังเป็นจริงได้เมื่อพิจารณาคำพยานโจทก์แล้วยืนยันว่าไม่ได้กรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจและไม่มีเจตนาที่จะขายที่ดินพิพาทเพียงแต่เจตนาที่จะให้จำเลยที่ 1 นำไปเป็นหลักประกันในการกู้เงินเท่านั้น ซึ่งความข้อนี้นางสมควรได้เบิกความรับว่าในขณะที่โจทก์ทำสัญญากู้ยืมเงินกับนางสมควรนั้นโจทก์ไม่มีความประสงค์ที่จะขายที่ดินพิพาท นอกจากนี้โจทก์ยังได้ขอสำเนาน.ส.3 ที่ดินพิพาทแจ้งให้มณฑลทหารบกที่ 13 ซึ่งเป็นผู้ดูแลที่ดินพิพาทที่อยู่ในเขตทหารทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์อันแสดงให้เห็นว่าโจทก์แสดงความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและไม่เคยมอบอำนาจให้ผู้ใดขายที่ดินพิพาท การที่มีการกรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3จึงเป็นการกรอกข้อความโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์เป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจ เอกสารหมาย จ.7จึงเป็นเอกสารปลอมต้องถือว่านิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับมอบอำนาจกับจำเลยที่ 3มิได้เกิดขึ้น สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทยังเป็นของโจทก์ประกอบกับสามีจำเลยที่ 1 เป็นพี่เขยของจำเลยที่ 2และจำเลยที่ 2 เป็นสามีของจำเลยที่ 3 ย่อมรู้ว่าโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้ขายที่ดินพิพาท ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 รับโอนที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริตจึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทส่วนปัญหาว่าค่าเสียหายมีเพียงใดนั้น ปัญหานี้โจทก์นำสืบโดยตีราคาที่ดินพิพาทว่าราคา 300,000 บาท จำเลยทั้งสามไม่ได้นำสืบหักล้างว่าราคาที่ดินพิพาทจำนวนเท่าใด แต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2534 นางสมควรกับจำเลยที่ 2 และที่ 3ตกลงซื้อขายที่ดินพิพาทในราคา 150,000 บาท จึงเห็นว่าค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมากรณีที่โอนที่ดินพิพาทไม่ได้จำนวน300,000 บาทนั้น พอสมควรแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทแล้วพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 110/12, 111/12 และ 112/12 ตำบลพระงาม อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ระหว่างโจทก์โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับมอบอำนาจกับจำเลยที่ 3 แล้วลงชื่อโจทก์ใน น.ส.3 ที่ดินดังกล่าว หากไม่อาจดำเนินการได้ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 300,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่25 มกราคม 2534 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 35,445 บาท

Share