คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3023/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกับโจทก์เป็นการเชิดให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทน จำเลยที่ 1จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน และได้วางมัดจำให้แก่จำเลยในวันทำสัญญา โดยจำเลยที่ 1 ได้เชิดจำเลยที่ 2เป็นตัวแทนลงชื่อเป็นผู้ขายแทนจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ยอมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและรับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือ ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ให้แก่โจทก์และรับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นสามีภรรยากันส่วนโจทก์เป็นหลานของจำเลยที่ 2 โจทก์มอบเงินมัดจำเป็นจำนวนถึง 47,000 บาท จำเลยที่ 1 น่าจะต้องรู้และให้ความยินยอมมาแล้วเมื่อโจทก์ให้ทนายความมีหนังสือถึงจำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและรับเงินค่าที่ดินส่วนที่ยังเหลือ จำเลยที่ 1 ก็มิได้โต้แย้งว่า จำเลยที่ 2 ทำหนังสือสัญญาขายที่ดินพิพาทตามลำพังโดยจำเลยที่ 1 มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยการที่จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกับโจทก์เป็นการเชิดให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทน จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821
พิพากษายืน

Share