คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1448/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญากันว่าจำเลยที่ 1 ต้องทำสุราออกขายไม่น้อยกว่าเดือนละ 9,192 เท และยอมเสียภาษีสุราไม่น้อยกว่าเดือนละ 9,192 เท เดือนใดเสียภาษีสุราต่ำกว่าจำนวนดังกล่าวนี้ จำเลยที่ 1 ยอมเสียค่าปรับเท่ากับสุรา ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาทันที และจำเลยที่ 1 ยินยอมชดใช้เงินค่าภาษีหรือเงินอื่นใดที่ค้างชำระให้แก่โจทก์ เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถทำสุราออกขายได้ตามจำนวนดังกล่าว และค้างชำระเงินค่าปรับเป็นจำนวนนับล้านบาท โจทก์ยอมได้รับความเสียหาย จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาโดยผลแห่งข้อสัญญา หาใช่ว่าจะต้องเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับ หรือคำสั่งซึ่งออกตามกฎหมายเฉพาะกฎหมายสุราจึงจะบอกเลิกสัญญาได้ไม่
เบี้ยปรับตามสัญญาก็คือ ค่าเสียหายที่กำหนดกันไว้ล่วงหน้าเพื่อชดใช้แก่กันหากอีกฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้
กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในสัญญาเป็นผู้ค้ำประกันและประทับตราของบริษัทจำเลยที่ 2 เห็นได้ชัดว่ากระทำในฐานะกรรมการผู้จัดการซึ่งเป็นตัวแทนหรือตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 2 มิใช่กระทำในฐานะส่วนตัว และยังปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับรองการทำสัญญาดังกล่าวของกรรมการผู้จัดการ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดตามสัญญา แม้ข้อบังคับของจำเลยที่ 2 จะมีว่ากรรมการจะต้องลงนามร่วมกัน 2 คน จึงจะทำการแทนบริษัทได้ ก็เป็นเรื่องการจำกัดอำนาจกรรมการซึ่งเป็นผู้แทนของบริษัทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 75 อันเป็นคนละกรณีกับการกระทำโดยทางตัวแทน
ในกรณีที่การบอกเลิกสัญญาไม่ทำให้หนี้ที่เกิดขึ้นอยู่ก่อนแล้วระงับสิ้นลง จนกว่าลูกหนี้จะชำระหนี้นั้น แม้เจ้าหนี้ได้บอกเลิกสัญญากับลูกหนี้ก็หาทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาอนุญาตให้จำเลยที่ ๑ ทำและขายสุราประเภทเสียภาษีรายเทมีกำหนด ๑๐ ปีนับแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๐๘ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๑๗ โดยจำเลยที่ ๑ จะต้องทำสุราออกขายให้ได้ไม่น้อยกว่าเดือนละ ๙,๑๙๒ เท และยอมเสียภาษีสุราไม่น้อยกว่าเดือนละ ๙,๑๙๒ เท (ค่าภาษีเทละ ๔๔ บาท ๘๐ สตางค์) เป็นเงินไม่น้อยกว่าเดือนละ ๔๑๑,๘๐๑ บาท ๖๐ สตางค์ ถ้าเดือนใดเสียภาษีต่ำกว่ากำหนดจำเลยที่ ๑ ยอมเสียค่าปรับเท่ากับค่าภาษีสุราจนครบภายใน ๒๒ ของเดือนถัดไป พ้นกำหนด ๑๕ วันยังไม่ชำระ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ และจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดใช้เงินที่ค้างชำระ จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันเป็นจำนวนเงินไม่ต่ำกว่า ๑,๒๓๕,๔๐๔ บาท ๘๐ สตางค์ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาโดยเสียภาษีสุราต่ำกว่าที่กำหนด ค้างชำระค่าปรับรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๖,๐๔๙,๑๘๑ บาท ๔๙ สตางค์ โดยจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันไว้อีกเป็นเงิน ๑,๘๕๖,๗๖๘ บาท โจทก์จึงบอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ ๑ และแจ้งให้ชำระเงินแก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า สัญญาที่ทำกับโจทก์เป็นสัญญาต่างตอบแทน โจทก์มีหน้าที่ให้จำเลยได้สิทธิตามสัญญาจนครบกำหนด โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา ข้อกำหนดในสัญญาขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี ไม่มีผลบังคับ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย เพราะได้นำสิทธิตามสัญญาออกประมูลให้บุคคลอื่นไปดำเนินการแล้ว
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ผู้ลงนามในสัญญาค้ำประกันไม่มีอำนาจทำนิติกรรมแทนจำเลยที่ ๒ อย่างไรก็ดีเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาที่ทำกับจำเลยที่ ๑ ความรับผิดของจำเลยที่ ๑ ก็หมดไป จำเลยที่ ๒ จึงพ้นความรับผิดไปด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินค่าปรับภาษีสุราที่ค้างชำระให้แก่โจทก์ ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ ๒ ชำระตามจำนวนที่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ นั้น จำเลยที่ ๑ ต้องทำสุราออกขายไม่น้อยกว่าเดือนละ ๙,๑๙๒ เท และต้องเสียภาษีสุราไม่น้อยกว่าเดือนละ ๙,๑๙๒ เท (คิดเป็นเงินเดือนละ ๔๑๑,๘๐๑ บาท ๖๐ สตางค์) ในเดือนใดเสียภาษีสุราต่ำกว่าจำนวนดังกล่าวนี้ จำเลยที่ ๑ ยอมเสียค่าปรับเท่ากับภาษีสุรา ถ้าไม่ปฏิบัติตามสัญญาโจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาทันที และจำเลยที่ ๑ ยินยอมชดใช้เงินค่าภาษีหรือเงินอื่นใดที่ค้างชำระให้แก่โจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ไม่สามารถทำสุราออกขายได้ตามจำนวนดังกล่าวและค้างชำระเงินค่าปรับเป็นจำนวนนับล้านบาท โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาโดยข้อสัญญา หาใช่ว่าจะต้องเป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งซึ่งออกตามกฎหมายเฉพาะกฎหมายสุราจึงจะบอกเลิกสัญญาได้ไม่
การที่จำเลยที่ ๑ ต้องเสียค่าปรับเท่ากับภาษีสุราโดยนัยแห่งข้อสัญญา จำเลยที่ ๑ จะอ้างให้เป็นการผิดแผกไปจากข้อสัญญาว่าเมื่อมิได้จำหน่ายสุราก็ไม่มีเงินค่าภาษีสุราที่จะต้องเสียหรือโจทก์ไม่เสียหายไม่ได้ เพราะเบี้ยปรับตามสัญญาก็คือค่าเสียหายที่กำหนดกันไว้ล่วงหน้าเพื่อชดใช้แก่กันหากอีกฝ่ายหนึ่งผิดสัญญานั่นเอง
กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ลงลายมือชื่อในสัญญาเป็นผู้ค้ำประกันและประทับตราของบริษัทจำเลยที่ ๒ เห็นได้ชัดว่ากระทำในฐานะกรรมการผู้จัดการซึ่งเป็นตัวแทนหรือตัวแทนเชิดของจำเลยที่ ๒ มิใช่กระทำในฐานะส่วนตัว นอกจากนั้นยังปรากฏว่าเมื่อโจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๒ ชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ ๒ มีหนังสือถึงจำเลยที่ ๑ เท้าความว่าจำเลยที่ ๒ ได้ออกหนังสือค้ำประกันรายนี้ แสดงว่าจำเลยที่ ๒ ยอมรับรองการทำสัญญาของกรรมการผู้จัดการตลอดมา จึงต้องรับผิด แม้ตามข้อบังคับของจำเลยที่ ๒ กรรมการจะต้องลงนามร่วมกัน ๒ คนจึงจะทำการแทนบริษัทได้ ก็เป็นเรื่องของการจำกัดอำนาจกรรมการซึ่งเป็นผู้แทนบริษัทตามประมวลกกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๕ เป็นคนละกรณีกับการกระทำโดยทางตัวแทนดังกล่าวข้างต้น
ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า สัญญาค้ำประกันมีผลใช้บังคับเฉพาะในเวลาที่จำเลยที่ ๑ ยังมีความรับผิดชอบต่อโจทก์เท่านั้น เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ ๑ สัญญาค้ำประกันย่อมหมดผลบังคับทันที โจทก์จึงเรียกร้องให้จำเลยที่ ๒ รับผิดไม่ได้นั้น เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะการบอกเลิกสัญญาของโจทก์ในเรื่องเช่นนี้ไม่ทำให้หนี้ที่เกิดขึ้นก่อนนั้นระงับสิ้นลงจนกว่าจำเลยที่ ๑ จะชำระหนี้แล้ว จำเลยที่ ๒ จึงยังไม่หลุดพ้นจากความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๙๘
พิพากษายืน

Share